ธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซ แอลพีจี) เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตเพิ่ม สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บริษัท ปิคนิคแก๊ส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (PICNI) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ดำเนินธุรกิจนี้เพียงรายเดียว
ที่มีความโดดเด่นในด้านการเติบโตทางรายได้และกำไรในรอบปี 2546
นายธีรัชชานนท์ ลาภวิสุทธิสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปิคนิคแก๊ส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง
จำกัด (มหาชน) ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2547 รวมทั้งแผน
การตัดสินใจซื้อบริษัทค้าก๊าซแอลพีจีที่ประเทศเวียดนามในเร็วๆ นี้
ชี้แจงการตัดสินใจเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนาม ?
มติคณะกรรมการบริษัท ปิคนิค แก๊ส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง ได้มีมติให้บริษัทฯขยายกิจการไปยังเวียดนามเมื่อวันที่
22 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยบริษัทเตรียมเข้าไปซื้อกิจการบริษัท เอสซีที (เวียดนาม)
แก๊ส จำกัด หรือ V-GAS เนื่องจากเล็งเห็นว่าเวียดนาม เป็นประเทศที่มีศักยภาพ และมีโอกาส
โตสูงจึงถือว่าเป็นการรุกธุรกิจข้ามประเทศครั้งแรกของปิคนิค
ปัจจุบันระบบการค้าก๊าซของเวียดนามลอยตัวแล้ว และมาตรฐานต่างๆใกล้เคียงกับไทย
ประกอบกับอัตราการใช้ก๊าซฯโตขึ้นเรื่อยๆ โดยประเทศเวียดนามมีความสามารถใน การผลิตก๊าซฯอยู่ปีละ
4.8 แสนตัน และมียอดนำเข้าอยู่ทั้งหมด 30% และผู้ค้าใหญ่ในเวียดนามมี 10 ราย เป็นของรัฐบาลอยู่
3 ราย ซึ่งวีแก๊ส เป็นบริษัทเอกชนของไทยที่เข้าไปลงทุนธุรกิจก๊าซฯในเวียดนาม มีขนาดใหญ่ติดอันดับ
1 ใน 5 ผู้ค้าก๊าซฯเอกชน ที่เราจะเข้า ไปซื้อทรัพย์สินเป็นบริษัท วีแก๊ส จำกัด
ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนของไทยที่เข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ ปิคนิคจะเข้า ไปซื้อทรัพย์สินของวีแก๊สทั้งหมดโดยรวมทั้งท่าเรือและโรงงานซ่อมสี
ซึ่งเป็นจุดเด่นของวีแก๊สที่บริษัทให้ความสนใจ ปัจจุบันวีแก๊สมียอดขายประมาณ 5-7
พันตันต่อเดือน โดยฐานลูกค้าจะเป็นผู้ค้าปลีกและจ็อบเบอร์ ซึ่งการที่วีแก๊สมีถังก๊าซฯ
หมุนเวียนอยู่แล้วในตลาด ทำให้การขยายยอดขายก๊าซฯทำได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ วีแก๊สยังได้สัมปทานธุรกิจนี้ถึง 30 ปีเริ่มตั้งแต่ปี 2536 และปัจจุบันวีแก๊สอยู่ระหว่างการต่อรองรัฐบาลเวียดนามขอขยายเวลาสัมปทานเพิ่มอีก
30 ปีด้วย ในปี 2545 สถิติการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ของไทยอยู่ที่ 39 กิโลกรัม/คน/ปี
แต่ เวียดนามอยู่ที่ 6 กิโลกรัม/คน/ปี ขณะที่ประชากรเวียดนามมีถึง 80 ล้านคน ทำให้เห็นศักยภาพชัดเจน
คาดว่าในปี 2547 ยอดการใช้ก๊าซฯของ เวียดนามอาจขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 12 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
สาเหตุที่เขาตัดสินใจขาย และมูลค่าทรัพย์สินที่บริษัทจะซื้อ ?
สาเหตุที่วีแก๊สขายธุรกิจนั้น เนื่องจากต้องการหันไปลงทุนธุรกิจที่มีกำไรสูงกว่าและความเสี่ยงด้านการบริหารต่ำกว่า
ซึ่งธุรกิจก๊าซฯยิ่งโตก็ต้องยิ่งขยาย จำเป็นต้องมีเงินทุนมา รองรับ เขามองว่าปิคนิคมีศักยภาพ
ในการทำธุรกิจที่เวียดนาม จึงเหมือน กับเครื่องรับและเครื่องส่งตรงกัน โดย วีแก๊สเสนอขายมาที่
480 ล้านบาท แต่ เรารอบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินและบริษัทประเมินสรุปผลก่อนจะมีการเจรจาต่อรองราคาอีกครั้งหนึ่ง
โดยบริษัทฯจะลงนามสัญญาบันทึกช่วยจำ (เอ็มโอยู)ไม่เกิน 15 มกราคม 2547 และคาดว่าดีลดังกล่าวจะแล้วเสร็จไม่เกินกุมภา-พันธ์
2547
โดยแหล่งเงินทุนที่ซื้อกิจการในเวียด-นามมาจากเงินทุนหมุน เวียนประมาณ 100 ล้าน
บาท และที่เหลือจะมาจากการออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 3,500 ล้านบาทด้วย
สำหรับผลิต ภัณฑ์ของวีแก๊สจะใกล้เคียงกับเรา โดยจำหน่าย ก๊าซบรรจุถังขนาด 12,
15,45, 48 กิโลกรัม ซึ่งเวียดนามไม่มีถังก๊าซฯขนาด 4 กิโลกรัม ดังนั้นปิคนิคเข้าไปจะเป็นสีสันของตลาดก๊าซฯใน
เวียดนาม เพราะเราจะนำถังขนาด 4 กิโลกรัมบุกตลาดที่เวียดนาม เพิ่มตัวเลือกให้กับผู้บริโภค
เพราะถังขนาด 4 กิโลกรัมจะง่ายต่อการเคลื่อนย้าย
ปัจจุบัน วีแก๊ส ตั้งอยู่แถบเวียดนามใต้ (ดองไน) โดยส่วนใหญ่จะนำเข้าก๊าซฯจากไทยและอินโดนีเซีย
ซึ่งภายหลังจากปิคนิคเข้าไปซื้อกิจการ ก็จะทำหน้าที่ในการป้อนก๊าซฯให้กับวีแก๊สเอง
เราจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในต่างประเทศหรือไม่ ?
หลังจากเราลงทุนในเวียดนามครั้งนี้ประสบความสำเร็จ เราก็มีกำลังใจที่จะลงทุนในภูมิภาคนี้ต่อไป
รวมถึงการเข้าไปซื้อธุรกิจก๊าซในเวียดนามเพิ่มเติม หากพบว่ามีผู้ประกอบการรายใดจะเลิกธุรกิจ
เพราะในส่วนตัวมองตลาดเวียดนามแล้วมีความมั่นใจมาก เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับตลาดก๊าซฯในไทย
ทำให้คาดการณ์ในอนาคตยอดการใช้ ก๊าซฯของเวียดนามจะโตใกล้เคียงของ ไทยหรืออาจแซงหน้า
เพราะรัฐบาลเวียดนามต้องการรักษาทรัพยากรป่าไม้ของเขา โดยผลักดันให้ประชากรมา ใช้ก๊าซฯมากขึ้น
แผนการลงทุนในปี 2547 ?
บริษัทจะลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยบริษัทฯจะสร้างคลังเพิ่ม ที่นครสวรรค์
ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี สมุทรสงคราม รวมทั้งมีแผนขยายก๊าซ ชอปและเพิ่มจำนวนถังก๊าซฯก็ยังคงเดิม
ในปี 2546 บริษัทมีกำลังการ ผลิตก๊าซฯอยู่ที่ 2 หมื่นตันต่อเดือน และปี 2547
จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2.5 หมื่นตันต่อเดือน ขณะที่เวียดนาม จะมีกำลังการผลิตประมาณ
7 พันตันต่อเดือน ทำให้กำลังการผลิตของปิคนิคฯเพิ่มขึ้นทันที 33%
สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากการออกตราสารหนี้ประเภทหุ้นไม่เกิน 3,500 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวยังนำมาใช้ในการลงทุนในต่างประเทศ
ที่จะซื้อทรัพย์สินจากเอสซีที( เวียดนาม) แก๊ส รวมถึงการซื้อเรือขนส่งก๊าซ ปิโตรเลียมเหลว
2-3 ลำ มูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ปิคนิคจะออกการออกตราสารหนี้ประเภท ตั๋วสัญญาใช้เงิน และ/หรือ ตั๋วแลกเงิน
ภายในวงเงินรวมไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เพื่อ รองรับตั๋วแลกเงินที่จะถึงกำหนดชำระภายใน
1 ปี
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก เกิดจากปัจจัยอะไร ?
สืบเนื่องจากบริษัทมีการเติบโต ค่อนข้างสูง ทำให้ผลการดำเนินงานใน ช่วง 3 ไตรมาสแรกปี
2546 มีกำไรประมาณ 139 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 4/2546 กำไรจะดีกว่าไตรมาส 3 ที่มีกำไรสุทธิ
80 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนหันมาไล่ซื้อหุ้นPICNI จนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
และขอยืนยันว่าการตัดสินใจลงทุนในเวียดนามนั้น เป็นความลับไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ก่อน
แต่อาจจะมีข่าวรั่วออกจากเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ประสานงานให้บริษัทกับเวียดนามก็ได้
ทำให้ช่วงนั้นราคาหุ้นPICNI ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น