Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 มกราคม 2547
คลังโว"จีดีพี"ปีวอกโต8%ไม่ยากหลายปัจจัยหนุนส่งออกขยายตัวกว่า10%             
 


   
search resources

กระทรวงการคลัง
กิตติ ลิ่มสกุล
สุชาติ เชาว์วิศิษฐ
Economics




คลังตีปีก จีดีพีปีวอก 8% ไม่ใช่เรื่องยาก โดยมีปัจจัยบวกจากภาคส่งออก ที่คาดโตอย่างต่ำ 10% เพราะได้รับอานิสงส์จากการเจรจาเขตการค้าเสรีระดับทวิภาคีกับหลายประเทศ และแนวโน้มค่าเงินหยวนที่ปรับตัวสูงขึ้น บวกแรงส่งจากการขยายการลงทุนใหม่ของภาคเอกชน และการออกบอนด์ระดมทุนแทนการกู้จากแบงก์มากขึ้น ส่วนภาคการบริโภค จำเป็นต้องชะลอความร้อนแรงลง โดยรัฐจะลดโครงการเอื้ออาทรแต่เน้นเพิ่มความแข็งแกร่ง เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน

เริ่มต้นปี 2547 ด้วยข่าวดีจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นาย กิตติ ลิ่มสกุล ที่มองแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ว่าจะยังขยายตัวได้ดี และมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจถึง 8% ตามเป้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีปักธงไว้ได้อย่างไม่ยาก เนื่องจากมีปัจจัยบวกจากหลายประการเป็นแรง ส่งที่สำคัญ

โดยเฉพาะการขยายตัวของภาคการส่งออกและภาคการลงทุน การขยายตัวตลาดสินค้าและบริการที่ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และอานิสงส์จากการที่รัฐบาลได้ทำข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศต่างๆ ทำให้ไทยสามารถขยายฐานการส่งออกได้มากขึ้น

มั่นใจส่งออกขยายตัวไม่ต่ำกว่า10%

ทั้งนี้ มั่นใจว่าภาคการส่งออกในปีนี้จะมีอัตราการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% แม้ว่าจะมีปัจจัยเรื่องค่าเงินหยวนของประเทศจีนที่มีอัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าความเป็นจริงประมาณ 8-10% ก็ตาม แต่ที่ผ่านมา จีนได้รับรู้เป็นอย่างดีว่าค่าเงินหยวนที่ต่ำกว่าความเป็นจริงจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศคู่ค้าทั้งในและนอกภูมิภาค ซึ่งขณะนี้จีนกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่ ดังนั้น การส่งออกของไทยจึงมีโอกาสในการแข่งขันได้มากขึ้น

"จีนรู้ว่าถ้าไม่ยอมปรับค่าเงินหยวนให้สูงสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น ประเทศอื่นจะแย่หมด ดังนั้น จีนจึงพยายามจัดการทำให้ค่าเงินหยวนอยู่ในสภาวะที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด เพียงแต่ไม่ต้องการประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้เพราะเกรงจะเสียหน้า"

รัฐปล่อยเอกชนขับเคลื่อนการลงทุน

สำหรับภาคการลงทุน ในปี 2547 ภาครัฐจะเข้าไปลงทุนน้อยลงจากปีที่ผ่าน มา แต่จะปล่อยภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจทำหน้าที่ต่อไป โดยการลงทุนของภาครัฐในปีนี้จะเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นปัจจัยในการอำนวยความสะดวกในการขยายการลงทุน เพื่อเป็นแรงจูงใจนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ การสร้างโครงข่ายถนน 21 สาย ด้วยวงเงินประมาณ 3.4 แสน ล้านบาท

ดังนั้นในปีวอกนี้ จะได้เห็นการลงทุนของเอกชนอย่างแท้จริง แม้ว่ากำลัง การผลิตปัจจุบันจะอยู่ที่ระดับประมาณ 70% แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ๆและการลงทุนใหม่เกิดขึ้น โดยจะมีการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักร ตัวใหม่มาใช้ในการผลิต ส่งผลให้ภาคการลงทุนขยายตัวได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

ตลาดเงินฉุดการขยายตัวเศรษฐกิจ

นายกิตติ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดเงินค่อนข้างเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพราะเป็นภาคที่ยังมีปัญหาเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ค้างอยู่ในระบบเป็นจำนวนมาก จึงไม่สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ โดยมีอัตราการขยายตัวของสินเชื่อเฉลี่ยน้อยกว่า 1% ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการกู้ยืมเงินมาใช้ในการลงทุน

"ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องการเห็นคือ รัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนสามารถออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนได้เองเพื่อลดการพึ่งพาทุนจากตลาดเงิน นอกจากนี้จะสนับสนุนให้มีการซื้อขายพันธบัตรระหว่างรัฐวิสาหกิจของแต่ละประเทศได้ โดยที่รัฐไม่ต้องเข้าไปค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อเป็นการลดภาระหนี้ของภาครัฐลง"

ในปี 2547 จะเป็นปีรัฐบาลให้ความสำคัญกับการผลักดันเรื่องการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย หรือเอเชียบอนด์อย่างเต็มที่ โดยความคืบหน้ากรณีที่สถาบันการเงินต่างประเทศ อาทิ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี และกองทุนความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือเจบิก จะออกพันธบัตรสกุลเงินบาท(บาทบอนด์)นั้น เป็นเรื่องที่ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

ด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับการปรับตัวของตลาดใดตลาด หนึ่ง เนื่องจากทั้ง 3 ตลาด ซึ่งได้แก่ ตลาดเงิน ตลาดทุน และตลาดตราสารหนี้ มีความสัมพันธ์กัน ที่ผ่านมาดอกเบี้ยตลาดเงินอยู่ที่ประมาณ 1% จากผลกระทบ ของหนี้เสีย และธนาคารไม่ยอมเพิ่มทุน ส่วนตลาดตราสารหนี้ระยะยาว 10 ปี อยู่ที่ 5.1%

ตลาดทุนขยายตัวเพิ่มขึ้น

ขณะที่ตลาดทุนมีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 10% เพราะบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีกำไรดี ดังนั้น เม็ดเงินลงทุนจึงไหลเข้าสู่ตลาดทุนเป็นจำนวน มาก โดยคาดว่า ในปีนี้จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดตราสารหนี้ ที่จะขยับ อายุตราสารจากระยะยาวเป็นระยะสั้นเพื่อให้มีสภาพคล่องมากขึ้น

ในส่วนของตลาดทุนยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น คาดว่าจะมีบริษัทและรัฐวิสาหกิจจำนวนมากเข้าจดทะเบียน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมีผลประกอบการที่ดี จึง เชื่อว่าตลาดทุนน่าจะสามารถเติบโตต่อไปอีกได้และจะทดแทนตลาดเงินได้ แต่จะถึง 1,000 จุดได้หรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการระดมทุนในตลาดฯ

สำหรับภาคการบริโภคภายในประเทศ ในปีนี้รัฐบาลจะลดบทบาทการกระตุ้นลง หลังใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมา 2 ปี ดังจะเห็นได้จากปี 2546 ที่ผ่านมามีกระแสเอื้ออาทรออกมามิได้หยุด เริ่มตั้งแต่ บ้านเอื้ออาทร คอมพิวเตอร์เอื้ออาทร จักรยานเอื้ออาทร ทีวีเอื้ออาทร ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการ ประชานิยมหลายโครงการที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 อาทิ โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการธนาคารประชาชน โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และมาสิ้นสุดส่งท้ายปี 2546 ด้วยการแจกบำเหน็จดำรงชีพ ให้กับข้าราชการบำนาญเพื่อเป็นของขวัญวันคริสต์มาสแล้ว ในลำดับต่อไปรัฐจะหันมาเน้นส่งเสริมความมั่นคงในการครองชีพมากขึ้น

รัฐบาลงดออกโครงการเอื้ออาทร

ผู้ช่วย รมว.คลัง กล่าวว่า ในปีนี้จะไม่มี อะ เดย์ ออฟ ซานตาครอส หรือ โครงการลักษณะเอื้ออาทรออกมาอีก หรือถ้ามีก็ควรจะมีน้อยที่สุด ด้วยเหตุผลว่า ของแจกเป็นสิ่งที่ควรมี แต่ต้องมีขอบเขตจำกัด อย่างการให้เงินสนับสนุนภาคการศึกษาจะมีความรัดกุมมากขึ้น คือ จะมอบเป็นลักษณะการมอบเงินแห้ง โดย จะใช้วิธีการมอบให้ทางโรงเรียนไปจัดสรรเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียน ไม่ใช่ลักษณะเงินสดผ่านระบบเอทีเอ็มเช่นที่ผ่านมา

ชะลอความร้อนแรงการบริโภค

นอกจากนี้ รัฐจำเป็นต้องชะลอความร้อนแรงของการบริโภคลง โดยที่ผ่าน มาทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ดูแลระดับการใช้เครดิตเพื่อการบริโภค อย่างใกล้ชิด ขณะที่กระทรวงการคลังมีมาตรการทางภาษีเป็นปัจจัยในการรักษา เสถียรภาพโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังจะไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายภาษี และจะดำเนินมาตรการทางการคลังในลักษณะรักษาวินัยทางการคลังมากขึ้น

ภาครัฐได้มีการเฝ้าระวังเรื่องภาวะฟองสบู่เป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาได้มี มาตรการหลายๆ ด้านที่เข้าไปแตะเบรกเพื่อไม่ให้เกิดภาวะทางเศรษฐกิจที่หวือหวาหรือร้อนแรงจนเกินไป และเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจด้วย

แม้ว่ารัฐบาลจะลดของแจก แต่อย่าลืมข่าวดีต้นปี ที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วประเทศที่มีความเดือดร้อน อาทิ ไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน มีหนี้สินล้นพ้น เป็นบุคคลเร่ร่อน หรือถูกต้มตุ๋นหลอกลวง ฯลฯ มาลงทะเบียนไว้กับรัฐบาล แต่ วันที่ 5 มกราคม-31 มีนาคม 2547 หลังจากนั้นรัฐบาลจะนำผลการลงทะเบียนทั้งหมดมาประมวลเพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us