Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 ธันวาคม 2546
จัดทัพแบงก์ไทย-เทศรับนโยบายศก.ทักษิณ             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
กระทรวงการคลัง
ทักษิณ ชินวัตร
Banking




เปิดแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับรัฐบาลทักษิณ เหลือสถาบันการเงินเพียง 2 ประเภท คือ ธนาคารเต็มรูปแบบ กับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ส่วนบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์จะสูญพันธุ์ ขณะที่สถาบันการเงินต่างชาติต้องครองสถานะเดียวระหว่างการเป็นธนาคารลูกครึ่ง ธนาคารที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศหรือจะเลือกเป็นสาขา เผยร่างใหม่รองรับนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลในอนาคต มองประชาชนเป็นศูนย์กลางแตกต่างจากแผนแม่บทรัฐบาลชุดก่อนที่ให้สถาบันการเงินเป็นศูนย์กลาง

แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับใหม่ กำหนดให้ "สถาบันการเงินไทย" เหลือเพียง ธนาคารเต็มรูปแบบ (Full-service bank) กับธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (Restricted bank) ส่วนบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิต ฟองซิเอร์ รัฐบาลจะสนับสนุนให้ปรับฐานะเป็น ธนาคาร หากไม่ต้องการปรับเปลี่ยนฐานะหรือไม่ผ่านเกณฑ์ ต้องเสนอแผนเพื่อคืนใบอนุญาต

"สถาบันการเงินที่คุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ ได้รับใบอนุญาตธนาคารพาณิชย์ทั้ง 2 ประเภท หรือต้องคืนใบอนุญาต จะต้องปรับตัวเป็นเพียงบริษัทอำนวยสินเชื่อ (Credit Company) ไม่สามารถรับเงินฝากแต่จะให้บริการ เฉพาะบางด้าน เช่น สินเชื่อ โดยไม่จำเป็นต้อง รับใบอนุญาตและไม่ได้อยู่ในการกำกับของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)"

สำหรับ "สถาบันการเงินเฉพาะกิจ" เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน กระทรวงการคลังจะมอบหมายให้ขยายสาขาไปในท้องที่ที่ยังไม่มีสถาบันการเงินใดให้บริการ โดยจะชดเชยส่วนต่างผลตอบแทนที่พึงได้รับตามกลไกตลาดปกติภายใต้กรอบการแยกบัญชีการดำเนินธุรกรรมตามนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA)

ส่วน "ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ" รัฐบาลจะจำกัดให้เลือกระหว่างการเป็นธนาคารลูกครึ่ง (Hybrid bank) ธนาคารที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ (Subsidiary) หรือ เป็นสาขา (Branch bank)

โดยรัฐบาลจะอนุญาตให้สาขาที่เปลี่ยน เป็นธนาคารที่เป็นบริษัทลูก เปิดสาขาเพิ่มขึ้น ประมาณ 3-5 สาขา แต่เงินกองทุนขั้นต่ำจะสูงกว่าธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย เนื่องจาก สามารถทำธุรกรรมได้มากกว่า ขณะเดียวกันยังคงกำหนดให้ปฏิบัติตามเกณฑ์ส่งเสริมสังคมและเศรษฐกิจเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ไทย ส่วนสาขาที่ไม่ต้องการเปลี่ยนเป็นธนาคารที่เป็นบริษัทลูกยังคงรูปแบบเดิมได้เพียง 1 แห่ง

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะขยายเพดานการถือหุ้นของต่างชาติในธนาคารพาณิชย์ไทยจาก 25% เป็น 49% แต่กระทรวงการคลังจะอนุมัติเป็นรายกรณี ทั้งนี้ มีผลหลังพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ....มีผลบังคับใช้เสียก่อน

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ขณะนี้แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับใหม่ กระทรวงการคลังได้จัดทำเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื้อหาจะเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ดังนั้น สถาบันการเงินที่ให้บริการในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมาก

ที่สำคัญเป็นไปตามกรอบนโยบายเศรษฐกิจของประเทศภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงมีการกำหนดแผนดำเนินการชัดเจนและกระชับ (ดูตาราง "แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทสถาบันการเงิน" ประกอบ) เพื่อให้สถาบันการเงินในอนาคต มีส่วนในการผลักดันเศรษฐกิจชาติให้เร็วที่สุดแต่ยั่งยืน เป็นไปตามที่พ.ต.ท.ทักษิณตั้งเป้าในการเป็นรัฐบาล 8- 20 ปี พ.ต.ท.ทักษิณเห็นความสำคัญของเงินทุนหรือบทบาทสถาบันการเงินในการเป็นกลไกในหลักที่ทำให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลประสบความสำเร็จ

"เป็นแผนพัฒนาฯที่กระทรวงการคลังปรับปรุงต้นฉบับ ธปท. ค่อนข้างมาก เนื่องจากธปท. ยึดรูปแบบแผนแม่บททางการเงิน (Financial Master Plan) ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาซึ่งยึดสถาบันการเงินเป็นศูนย์กลาง แต่รัฐบาลทักษิณต้องการให้ประชาชนหรือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากข้อมูลล่าสุดจากการสุ่มตัวอย่างของรัฐพบว่า การเข้าถึงบริการการเงินของประชาชนด้านเงินกู้มีเพียง 42% มีอำเภอที่ไม่มีสถาบันการเงินเข้าไปให้บริการ 42 อำเภอทั่วประเทศ"

แหล่งข่าวธนาคารพาณิชย์กล่าวถึงแผนพัฒนา ระบบสถาบันการเงินว่า สาระสำคัญรัฐบาลมุ่งสร้างแหล่งเงินทุนให้กับชุมชน เป็นประเด็นที่รัฐบาลมองเห็นถึงปัญหาของประชาชนที่อยู่ห่างไกลแหล่งเงินทุน ประกอบกับธปท.ได้ค้นพบว่าธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถเข้าถึงระดับรากหญ้าได้อย่างสมบูรณ์เท่าประชาชนในเขตเมืองหรือในเขตเศรษฐกิจ

"ธปท.เคยไปสัมภาษณ์สหกรณ์และชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการบริหารเงินภายใน ปรากฏว่าชุมชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ธปท.เข้ามายุ่ง เพราะชาวบ้านมีหลักและรู้ว่าใครบริโภคอย่างไร มีวิธีการตรวจสอบ ซึ่งรูปแบบนี้จะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับคนในชุมชนจะเห็นได้ว่าสหกรณ์ไม่เคยล้มและทำอยู่ได้ เพราะบางองค์กรทางการเงินสามารถรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายจนมีเงินออมจากการให้บริการทางการเงินเกือบ 200 ล้านบาท อย่างเช่น กลุ่ม ของครูชบ ในเขตจังหวัดทางภาคใต้ แต่สิ่งที่ชุมชนเหล่านี้ต้องการคือ การให้ธปท.เข้ามามีส่วนร่วมในการทำระบบบัญชี ระบบการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานขึ้น ซึ่งอาจจะมีการตั้งศูนย์กลางเข้ามาดูแลเพื่อให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่เข้ามาควบคุมถ้าทำเช่นนั้นคงลำบาก" แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวเห็นด้วยกับแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน การควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทยและจัดระเบียบสถาบันการเงินต่างชาติ เพราะหากไม่ดำเนินการอะไรจะทำให้การสอดส่องธุรกรรมของสถาบันการเงินต่างชาติไม่ทั่วถึง

"ซึ่งทางเลือกที่อยู่ในแผน จะช่วยให้สถาบันการเงินต่างชาติสามารถตัดสินใจได้ว่าถึงเวลาหรือยังที่จะเข้ามาลงทุนอย่างจริงจัง เหมือนกับการลงทุน ในธนาคารยูโอบีรัตนสิน (เดิมธนาคารรัตนสิน) หรือ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนครธน(เดิมธนาคารนครธน) เพราะทั้งสองธนาคารสถาบันการเงินต่างชาติได้ใส่ทุนเข้ามา ขณะที่สาขาของสถาบันการเงินต่างชาติที่ทำธุรกิจอยู่ในไทยขณะนี้ ส่วนของทุนแทบไม่มี แต่จะมีในส่วนของหนี้สินที่ธนาคารแม่เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อให้นั่นแสดงว่าสาขาเหล่านี้มีสถานะเป็นลูกหนี้" แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตสาระสำคัญของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินว่า จำเป็น ต้องแยกอำนาจธปท.ระหว่างการดำเนินนโยบายกับการกำกับตรวจสอบสถาบันการเงิน ออกจากกัน และยังมีข้อบกพร่องที่รัฐบาลควรต้องทบทวนก่อนที่จะตัดสินใจนำมาใช้ โดยเฉพาะคำถามสำคัญได้แก่

1. ภาระที่รัฐบาลแบกรับจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่คาราคาซังนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 และสถาบัน

2. การควบรวมและส่งเสริมให้แยกจัดตั้งธนาคารเฉพาะจะทำให้รูปโฉมของสถาบันการเงินจะออกมาอย่างไรในอนาคต พร้อมทั้งตลาดการเงินจะเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลอย่างไร

"แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะต้องตอบ คำถามเหล่านี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นเหมือนอดีต มิเช่นนั้นแผนแม่บทอาจกลายเป็น "แผนชำเราระบบสถาบันการเงินแทน" แหล่งข่าวกล่าว

ขณะที่ภาพรวมของแผนฯ แหล่งข่าว สรุปว่า ยังเป็นลักษณะอนุรักษนิยมตามไม่ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วของตลาดการเงิน เอื้อประโยชน์ ให้กับต่างชาติเข้ามาแข่งขันเสรีมากเกินไป รวมทั้ง การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนผูกขาดกลุ่มเดิม

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us