นานๆ จะได้มาเที่ยวซานฟรานซิสโกสักที และด้วยความที่ชอบช็อกโกแลตเป็นชีวิตจิตใจ
เข้าข่าย "Chocohalic" ฉะนั้นเมื่อมาถึงแล้วก็ต้องไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของช็อกโกแลต
Ghirardelli (อ่านว่า เกียร์-อาร์-เดลลี่ GEAR-AR-DELLY) ช็อกโกแลตชื่อดัง
ที่เพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบ 150 ปีไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา
มาเริ่มต้นทัวร์กันที่ถนน Powell ในดาวน์ทาวน์ ที่เป็นสถานีเริ่มต้นของรถรางที่มีชื่อของซานฟรานฯกระโดดขึ้นรถรางสาย
Powell-Hyde นั่งไปจนสุดสายที่ Fisherman's Wharf สะพานปลาอันลือชื่อของซานฟรานฯ
เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวทุกรายต้องไปเยือนเพื่อลิ้มชิมรสเนื้อ King Crab
ปูยักษ์อันแสนหวาน พร้อมกับชมวิวสะพาน Golden Gate ที่อยู่ทอดข้าม Pacific
Ocean
กลับมาที่ Ghirardelli ช็อกโกแลตทัวร์...เมื่อลงจากรถราง เดินไปทางซ้ายมือตามถนน
Beach เพียงนิดเดียวก็จะเห็นป้ายใหญ่มหึมาของ Ghirardelli ในพื้นที่ Ghirardelli
Square ซึ่งในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาเป็นสำนักงานใหญ่และโรงงานผลิตช็อกโก
แลต Ghirardelli แห่งแรกของมิสเตอร์ Domingo Ghirardelli ชาวอิตาเลียนที่เข้ามาตั้งรกรากในอเมริกา
แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์สำหรับนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมสภาพอาคาร
โรงงานและสำนักงานใหญ่ยังคงสถาปัตยกรรมดังเดิม หากภายในแบ่งซอยออกเป็นที่เช่าสำหรับออฟฟิศ
และห้างร้านต่างๆ หลายสิบธุรกิจ
ตำนานของช็อกโกแลต Ghirardelli เริ่มจากมิสเตอร์ Domingo Ghirardelli พ่อค้าชาวอิตาเลียนผู้อยู่ในอุตสาหกรรมผลิตขนมหวาน
ลูกกวาดและช็อกโกแลต ในสมัยนั้นคนที่เป็นพ่อค้าต้องล่องเรือไปตามเมืองต่างๆ
ประมาณปี ค.ศ.1817 Mr.Domingo Ghirardelli ก็ล่องเรือและจอดเรือยึดหัวหาดเปิดร้านผลิตภัณฑ์ลูกกวาดและช็อกโกแลตแห่งแรกๆ
ในเปรูและอุรุกวัย ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญคือ เมล็ดโกโก้
ขณะเดียวกันยุคนั้นก็เป็นยุคตื่นทอง (Gold Rush) ในแคลิฟอร์เนีย เพื่อนของ
Mr.Domingo Ghirardelli ชื่อว่า James Lick ก็เป็นคนหนึ่งที่อยากเข้ามาขุดทองในแคลิฟอร์เนีย
แต่แทนที่เขาจะแห่ขุดทองเหมือนคนอื่นๆ เขากลับหัวใสคิดหากำไรจากพวกที่ขุดทองได้
เขามั่นใจว่าพวกที่ขุดทองจนร่ำรวยตั้งเนื้อ ตั้งตัวได้ต้องมีความต้องการจับจ่ายซื้อของราคาแพง
ในปี ค.ศ.1848 เขาหอบเงินลงทุนจำนวน 25,000 เหรียญสหรัฐกับช็อกโกแลต Ghirardelli
จำนวน 600 ปอนด์มาปักหลักค้าขายในพื้นที่ซานฟรานซิสโกเบย์...มิสเตอร์ Domingo
Ghirardelli ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ตามมาด้วย เมื่อมาถึงเขาก็เปิดเต็นท์
เล็กๆ ขายของทั่วไป เก็บเล็กผสมน้อยขยายกิจการมีร้านของตัวเอง มีโรงแรมเป็นของตัวเอง
แต่โชคชะตาไม่เข้าข้างเขาเสมอไป ในปี ค.ศ.1851 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ "The
Great Fire of 1851" ได้เผาผลาญอาคารธุรกิจของ Mr.Domingo Ghirardelli ที่มีอยู่ในซานฟรานซิสโกจนหมดสิ้น
แต่เขายังไม่หมดหวังนำเงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่มาลงทุนเปิดร้านกาแฟเล็กๆ
ผีซ้ำด้ำพลอย...ร้านกาแฟขาดทุนยับเยิน จนเขาต้องขายทิ้ง
Mr.Domingo Ghirardelli ยังไม่ยอมแพ้ ในปี ค.ศ.1852 เขาหวนกลับไปหาธุรกิจเก่าดังเดิมที่เขาถนัด
คือ อุตสาหกรรมผลิตขนมหวาน ลูกกวาดและช็อกโกแลต เขาขายไอเดียให้กับหุ้นส่วนชื่อ
Mr. Girard เปิดบริษัทชื่อ Grirardelli & Ghirard ธุรกิจเริ่มเจริญงอกงาม
เขาได้หุ้นส่วนใหม่เป็นภรรยาของเขาเอง และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Mrs.Ghirardelli
& Co. ธุรกิจเริ่มดียิ่งขึ้น ในปีแรกเขาต้องนำเข้าเมล็ดโกโก้สูงถึง 200
ปอนด์ จากนั้นก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ใน ปี ค.ศ.1866 สูงถึง 1,000 ปอนด์
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ธุรกิจของเขาไปได้ดี คือมีพนักงานในบริษัททำการทดลองแขวนถุงช็อกโกแลตไว้ในห้องร้อนๆ
พบว่า Cocoa Butter ละลายออกมา ทำให้ช็อกโกแลตกลายเป็นผงแห้ง โดยเรียกว่ากระบวนการ "The Broma process" และนี่เองกลายเป็นที่มาของเทคนิคการผลิตผงช็อกโกแลต
ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตช็อกโกแลตตราบจนปัจจุบัน
ธุรกิจ Ghirardelli ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดได้เปิดที่ทำการสำนักงานใหญ่ที่หัวมุมถนน
Beach และ Larkin ในพื้นที่ Fisherman's Wharf และในปี ค.ศ.1915 ป้ายยักษ์
Ghirardelli ขนาด 25 X 125 ฟุต
เปิดใช้อย่างเป็นทางการ โดยมองเห็นเด่นชัดจากสะพาน Golden Gate และจากบรรดาเรือน้อยใหญ่ที่กำลังเข้าเทียบท่าซานฟรานซิสโกเบย์
40 ปีต่อ มาเมืองซานฟรานซิสโกประกาศให้ Ghirardelli Square เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ประจำเมืองซานฟรานซิสโก
แม้ปัจจุบัน Ghirardelli จะกลายเป็นบริษัทในเครือของ Lindt และ Sprungli
Chocolate แห่ง สวิตเซอร์แลนด์ไปแล้ว...แต่ตำนานของช็อกโกแลต Ghirardelli
ยังคงเป็นตำนานช็อกโกแลตที่ชาวอเมริกันภาคภูมิใจ และเล่าขานกันต่อไป...