Google.com ทะยานขึ้นมาเป็น Search Engine ยอดนิยมภายในชั่วเวลาครึ่งทศวรรษ
ในแต่ละวันผู้คนในมนุษยพิภพนับร้อยล้านคนใช้บริการของ Google.com ท่องไปใน
Cyberspace อาณาจักรของ Google.com เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยก้าวล่วงออกจากธุรกิจ
Search Engin และก้าวล้ำเข้าสู่ Software Industry โดยที่อาจก้าวเข้าสู่ธุรกิจสื่อสารมวลชนด้วย
Microsoft จับตามองการเติบโตของ Google ด้วยอาการเกรงขาม เพราะ google กำลังถีบตัวขึ้นมาเป็นคู่แข่งของ
Microsoft
บิลล์ ธอมป์สัน (Bill Thompson) ผู้สื่อข่าวสายเทคโนโลยีของ BBC ตั้งคำถามเมื่อต้นปี
2546 ว่า Google มีอำนาจมากเกินไปหรือ ไม่ในบทความเรื่อง "Is Google Too
Powerful?" (BBC News, February 21, 2003) บิลล์ ธอมป์สัน เสนอให้จัดตั้งหน่วยงานชื่อ
Office of Search Engines (เรียกย่อๆ ว่า Ofsearch) ทำหน้าที่ควบคุม กำกับ
และตรวจสอบธุรกิจ Search Engines เพราะธุรกิจประเภทนี้กำลังมีอิทธิพลในตลาด
และสามารถชี้เป็นชี้ตายธุรกิจ อื่นๆ
Google.com มีอำนาจล้นฟ้าในธุรกิจ Search Engines อย่างปราศจากข้อกังขา
จนถึงขั้นที่องค์กรประชาชนระหว่างประเทศจำนวนหนึ่งกำลังจับตามองทุกย่างก้าวของ
Google
เมื่อมีผู้ใช้บริการ Google.com Google ดำเนินการติดตั้ง Tracking Cookie
ในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่ผู้ใช้บริการไม่ทันรู้ตัว นอกจาก Google จะล่วงรู้
IP Address วันเวลาที่ใช้บริการ และคำไข (Key Words) ที่ค้นแล้ว Google ยังสามารถติดตามพฤติกรรมการใช้บริการ
Search Engines ของลูกค้าเป็นเวลายาวนาน โดยที่ Tracking Cookie จะสิ้นอายุการใช้งานในปี
ค.ศ.2038 หรืออีก 34 ปี ข้างหน้า ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวนี้ Google เก็บสะสมข้อมูลของผู้ใช้บริการตลอดเวลา
ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า Google เก็บบันทึก ข้อมูลเหล่านี้เพื่อเหตุผลอันใดฤา Google บันทึกข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกแก่รัฐบาลในการทำหน้าที่ Big Brother
(ตามนวนิยายเรื่อง 1984 ของ George Orwell) สอดส่องตรวจสอบและกำกับพฤติกรรมของ
ราษฎร ข้อที่ประจักษ์ชัดก็คือ ข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจ
eCommerce
Google พัฒนา Indexing Technology เพราะการพัฒนาระบบดรรชนีสำหรับการค้นคำไข
เพื่อให้ผู้ใช้บริการเข้าไปสู่ Websites ที่ต้องการในเวลาอันรวดเร็ว นับเป็นหัวใจของธุรกิจ
Search Engines หาก Google ไม่ชอบหน้าสถาบัน องค์กร และธุรกิจใด Google เพียงแต่ตัดชื่อหน่วยงานเหล่านี้ออกจากระบบดรรชนี
จำนวนผู้ใช้บริการของหน่วยงานเหล่านี้ย่อมลดลงอย่างน่าใจหาย
Google ไม่เพียงแต่มีอำนาจล้นฟ้าในธุรกิจ Search Engines เท่านั้น หากยังแผ่อิทธิพลทางวัฒนธรรมอีกด้วย
Google เป็นวิสามัญนาม เป็นชื่อบริษัท และเป็น Global Brand การแผ่อิทธิพลของ
Google ทำให้วิสามัญลักษณ์ของ Google ลดน้อยถอยลง Google เริ่มกลายเป็นสามัญนาม
กลายเป็นคำกริยา และกลายเป็นคำคุณศัพท์
Anne will 'google' a new boy-friend. ในประโยคนี้ google เป็นคำกริยา
ทั้งประโยคแปลว่า แอนค้นหาเพื่อนชายคนใหม่โดยใช้บริการ Search Engines ผู้คนพากันกล่าวขวัญถึง
googling และ being googled
บัดนี้ google กลายเป็นศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์เสียแล้ว
กระบวนการแปรวิสามัญนาม (Proper Noun) เป็นสามัญนาม (Common Noun) มิใช่ปรากฏการณ์ใหม่
เมื่อหลายร้อยปีก่อน Sandwich ก็เปลี่ยนแปลงสถานะดังกล่าวนี้
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวนมาก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มียี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้า
ในระยะแรกเริ่ม ผลิตภัณฑ์อันเป็นผลผลิตของเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้มักไร้คู่แข่ง
ทั้งนี้อาจเป็นผลจากการจดทะเบียนสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา ผู้บริโภคใช้ยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้าแทนชื่อผลิตภัณฑ์
ในเวลาไม่ช้าไม่นานต่อมา ยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้านั้นกลายเป็นสามัญนาม
Xerox นับเป็นอุทาหรณ์อันดีของความข้างต้นนี้ Xerox เป็นผู้บุกเบิกในการผลิตเครื่องถ่ายเอกสาร ในเวลาต่อมา Xerox ซึ่งเป็นยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้า
ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากวิสามัญนามเป็นสามัญนาม โดยที่มีการใช้ Xerox เป็นคำกริยาด้วย
แม้ในบัดนี้จะมีผู้ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารหลายต่อหลายบริษัท แต่ผู้คนยังคงเรียกเครื่องถ่ายเอกสารหรือการถ่ายเอกสารว่า
Xerox
Hoover มีสถานะไม่แตกต่างจาก Xerox และเผชิญชะตากรรมเดียวกัน Hoover เป็นผู้บุกเบิกในการผลิตเครื่องดูดฝุ่น
แม้ในบัดนี้ชาวแองโกลแซกซันยังใช้คำว่า hoovering ในความหมาย vacuuming
เจ้าของผลิตภัณฑ์อันเป็นผลผลิตของเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้มีความพอใจหรือไม่เพียงใด
ที่ยี่ห้อหรือเครื่องหมายการ ค้าของตนแปรเปลี่ยนสามัญนาม?
Google แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน เมื่อ World Spy อันเป็น Lexico-graphy
Website บรรจุคำว่า google ใน Online Lexicon ผู้บริหาร World Spy ได้รับจดหมายประท้วงจาก
Google โดยกดดันให้เปลี่ยนแปลงคำนิยามให้สื่อความหมายว่า google เป็นเครื่องหมายการค้า
ผู้จัดทำพจนานุกรมฉบับต่างๆ มีหน้าที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงภาษาในด้านต่างๆ
รวมทั้งบรรจุคำที่เกิดขึ้นใหม่ ศัพท์ใหม่จำนวนมากแปรเปลี่ยนจากวิสามัญ นามที่เป็นยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้า
ในขณะที่บริษัทธุรกิจไม่ต้องการให้ยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้าของตนแปรเป็นสามัญนาม
เพราะการแปรเปลี่ยนเป็นสามัญนามมีผลในการลดทอนมูลค่าตลาดของยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้านั้น
บรรษัทยักษ์ใหญ่บางบรรษัทว่าจ้างทนายให้ทำหน้าที่ปกป้องยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้าของตน หากมีสื่อมวลชนใดใช้ยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้าเป็นสามัญนามหรือคำกริยาก็ดี
หรือมีพจนานุกรมฉบับใดบรรจุศัพท์ที่เป็นยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้าก็ดี
ทีมทนายความจะดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อมิให้มีการใช้ศัพท์เหล่านั้นในความหมายที่มิใช่ยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้า
นอกเหนือจาก Google แล้ว Xerox, Kleenex, Portakabin และ Rollerblade รวมอยู่ในกลุ่มนี้
ความพยายามในการธำรงยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้ามิให้แปรเปลี่ยนเป็นสามัญนาม
ทำให้ทนายที่มีความชำนัญในการดำเนินคดีเครื่องหมายการค้า (Trademark Lawyers)
รับงานเพิ่มอีกอักโข นักอักษรศาสตร์จำนวน ไม่น้อย เริ่มตั้งข้อกังขาว่า ทนายเหล่านี้กำลังทำหน้าที่ตำรวจพิทักษ์ภาษา
ท้ายที่สุด ศาลสถิตยุติธรรมจะกลายเป็นองค์กรที่ให้ 'คำตอบสุดท้าย' ว่า ศัพท์คำใดจะบรรจุในพจนานุกรมได้
และศัพท์ใดบรรจุมิได้ แทนที่จะปล่อยให้นักพจนานุกรมทำหน้าที่อย่างเต็มที่และทำงานอย่างมืออาชีพ
McDonald มีเหตุขัดข้องใจ แตกต่างจาก Google เมื่อ Merriam-Webster's Collegiate
Dictionary อันเป็นพจนานุกรมภาษาอังกฤษที่มีชื่อเสียง บรรจุศัพท์ใหม่ McJob
โดยนิยามว่าเป็นงานหนักค่าตอบแทนต่ำ
McJob หมายถึง งานที่ทำกับ McDonald ศัพท์นี้ปรากฏครั้งแรกในนวนิยายเรื่อง
Generation X ของดักลาส คูปแลนด์ (Douglas Coupland) ซึ่งปรากฏสู่บรรณพิภพในปี
2534
McDonald มีสาขาทั่วโลกประมาณ 30,000 แห่ง และมีลูกจ้างประมาณ 500,000
คน การบรรจุ McJob ในพจนานุกรมด้วยความหมาย เชิงลบสร้างความไม่พอใจแก่ McDonald
เป็นธรรมดา
ไม่ว่าบรรษัทยักษ์ใหญ่จะชอบหรือไม่ก็ตาม กระบวนการแปรยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้าเป็นสามัญนามจะยังคงปรากฏต่อไป
หมายเหตุ โปรดอ่าน
1. Bill Thompson, "Is Google Too Powerful?" BBC News (February 21, 2003)
2. Jonathan Duffy, "Google Calls in the Language Policy", BBC News (June
20, 2003)
3. "McDonald's Anger over McJob Entry", BBC News (November 9, 2003)