หมอชาวฝรั่งเศสต่างไม่พอใจที่มีรายงานของรัฐบาลออกมาตำหนิว่า เมื่อเกิดวิกฤติการณ์
heat-wave แผ่ไปทั่วฝรั่งเศสเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้มีคนตายทั่วประเทศกว่า
15,000 คนนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากหมอตาม โรงพยาบาลในช่วงนั้นลาพักผ่อนกันเยอะ
จนคนป่วยไม่มีหมอดูแลเพียงพอ
ข่าวเศร้าน่าตกใจที่ตามมา เมื่อพบร่างผู้สูงอายุเสียชีวิตด้วยคลื่นความร้อนเกลื่อนไปทั่วกรุงปารีสกว่า
300 ศพ ไม่สามารถระบุญาติและคนติดต่อได้ ทำให้หลายคนสะท้านใจในจำนวนตัวเลขที่เห็นนี้ว่า
เมืองใหญ่ๆ ของโลกเช่นปารีสผู้คนต่างอยู่กันอย่างอ้างว้างจริงๆ หรือ
ท่ามกลางความจริงที่โหดร้ายลึกๆในความรู้สึกของคนวัฒนธรรมตะวันออก ฉันยังไม่สามารถเกลียดเมืองนี้ได้สักทีเพราะทุกครั้งปารีสมีอะไรใหม่ให้ได้พบ
ไม่เคยเบื่อ
เสน่ห์ความหลากหลายของศิลปะแขนงต่างๆ ในเมืองปารีสเปรียบเหมือนถนนที่ทอดยาวไปไกลแสนไกลไม่เคยจบหรือสะดุดลงตรงไหนเลย
จุดเริ่มและจุดสิ้นสุดไม่สามารถกำหนดได้ เพียงแต่คาดเดาได้ว่าคงห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
ทุกชั่วโมงยาม
ท่ามกลางความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงไปตามโมงยามเหล่านั้น ฉันกลับพบว่า
สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนในปารีสคือ ศิลปะการกินอาหาร ทั้งๆ ที่ในโลกใบนี้ทุกเมืองต่างก้าวไปกับวิถีชีวิตการกินที่เปลี่ยน
แปลงตามไปอย่างเห็นได้ชัด คนอังกฤษเคยกินมันฝรั่งกันเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ตอนนี้เพราะกระแสนิยมเรื่องสุขภาพแรงขึ้น
ชาติที่ธรรมเนียมจัดอย่างอังกฤษยังต้องเปลี่ยนไปเหมือนกัน ผลสำรวจพบว่าแครอทคืออาหารยอดนิยมแทนที่มันฝรั่งไปเสียแล้ว
เห็นได้ชัดเจนว่า เวทีอาหารสำหรับแป้ง ไขมัน น้ำตาลรวมไปถึงแอลกอฮอล์ กำลังพบจุดจบ
ตามเมืองและประเทศต่างๆ แต่ไม่ใช่ที่เมืองปารีสแห่งนี้
มีคนเคยตั้งคำถามพื้นๆ มาว่า ทำไมคนฝรั่งเศสที่ดื่มไวน์แทนน้ำ กิน croissant
ที่อุดมไปด้วยแป้งและเนยทุกเช้า ทั้งขนมปังฝรั่งเศสขนาดยาวสุดแขนก็กินเข้าไปทุกมื้อไม่ว่าเช้าสายบ่ายค่ำ
ขนมหวานประเภทต่างๆ ก็แสนมากมาย ทำไมคนฝรั่งเศสยังคงเป็นคนแข็งแรง มีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น
ทั้งผู้หญิงผู้ชาย สถิติโรคอ้วน โรคหัวใจไม่พุ่งปรู๊ดเหมือนคนอเมริกันหรือชนชาติต่างๆ
ในยุโรป
เรื่องนี้ทำให้มีนักโภชนาการเข้ามาศึกษาระบบวิธีการทำขนม วิธีการกิน และประเภทร้านอาหารแบบต่างๆ
อาหารจากภัตตาคารทุกประเภท ล้วนถูกนำมาเปรียบเทียบ ตั้งแต่ brasseries, eateries,
pizza parlors, Chinese restaurants และ Hard Rock cafes ปารีส ล้วนมีร้านอาหารและประเภทของอาหารเหมือนที่ทุกประเทศทั่วโลกมี
แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างไม่ใช่เรื่องของรายการอาหารแต่เป็นเรื่องของปริมาณ
คนฝรั่งเศสแตกต่างจากคนชาติอื่น ตรงที่จะกินอาหารในสัดส่วนที่ลดลงกว่าครึ่งของที่เสิร์ฟในประเทศอเมริกาและประเทศอื่นๆ
ถ้าเข้าใจประเด็นนี้ สำนวน You are what you eat ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่แท้จริงในประเด็นของการเพิ่มน้ำหนัก
แต่เป็น You are how much, not what, you eat เสียแล้ว
ปริมาณอาหารจำนวนมากไม่ใช่สิ่งจำเป็นบนจานอาหารของชาวฝรั่งเศส การกินอาหารของฝรั่งเศสไม่เคยเปลี่ยน
คนฝรั่งเศสกินอาหารเหมือนการเสพศิลป์ ศิลปะเป็นอย่างไรอาหารบนจานที่เสพเข้าร่างกายก็เป็นอย่างนั้น
ไม่มีร้านอาหารไหนในฝรั่งเศสจะขายอาหารแบบสุกเอาเผากิน เชิญชวนคนเข้าร้านด้วยการใช้ปริมาณเป็นเครื่องล่อเหมือนเมืองใหญ่ทั่วโลก
ถ้าเวลามีน้อยแค่ไป Fauchon ตั้งอยู่ที่ 26 Palace de la Madeleine อันเป็นแหล่งรวมอาหารอันหรูหราที่สุดในปารีส
จะพบว่าจานอาหารคือผลงาน คือศิลปะ ต้องจัดวางให้เหมาะสม มีสัดส่วนที่ลงตัวของวัตถุดิบที่นำมาใช้ประกอบอาหารตลอดถึงขั้นตอนการปรุง
เรื่อยไปจนถึงการยกมาวางให้ลูกค้าทุกอย่างถูกจัดถูกเตรียมอย่างพิถีพิถันจริงๆ
ฉันพบประสบการณ์ความตื่นเต้นทุกครั้ง สำหรับการเดินเข้าไปนั่งทานอาหารด้วยเมนูซ้ำที่ชอบ
เช่น ตับห่าน หรือเป็ดอบในร้านต่างๆ ไม่เฉพาะว่าจะต้องเป็นร้านเลิศ ตกแต่งสวยงาม
ทุกร้านทั่วปารีส ล้วนให้ความคาดหวังว่า จะได้ชมงานศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ที่จะถูกนำมาแสดงต่อหน้าทุกครั้ง
ไม่เคยซ้ำ ไม่เคยเหมือนการนั่งทานอาหารที่เมืองอื่นใดในโลก
ทุกครั้งที่เดินทางมาปารีส เหมือนต้องตั้งสติและตั้งจิตมั่นคงว่า ครั้งนี้จะลิ้มลองรสชาติประสบการณ์ใดดี
จะเดินไปถนนเส้นไหนดี ถนนสายที่เลือกในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Art Museum
จะเป็น Food Restuarant หรือ Fashion Show หรือห้างสรรพสินค้า Printempes/Galeries
Lafayette หรือแสดงนิทรรศการที่ Ladur'e ล้วนให้ความอิ่มเอมใจ ให้ต้องหลงวนเวียนเดินย้อนกลับไปเดินใหม่
เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกตที่คาดเดาได้ยากว่าเมื่อเลี้ยวมุมนี้จะมีอะไรรออยู่
ความรู้สึกนี้เกิดได้ทุกครั้งที่มาปารีส