การเดินทางเข้ามาสัมผัสประเทศไทยเมื่อวัยหนุ่มของวินเซนต์ มิลตัน กรรมการผู้จัดการฟิทช์
เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ส่งผลให้เข้าใจความเป็นไทยได้ดี และจะดียิ่งขึ้นถ้าให้โอกาสเขามากกว่านี้
หนุ่มชาวออสซี่ "วินเซนต์ มิลตัน" มีพื้นเพดั้งเดิมในเมืองเล็กๆ Ballina
ทางตอนเหนือของ New South Wales ออสเตรเลีย ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวใหญ่ในสายตาของตัวเอง
เพราะมีพี่น้องถึง 6 คน คุณแม่เป็นแม่บ้าน คุณพ่อเป็นเจ้าของฟาร์มโคนม แต่ตอนหลังตลาดไม่ดีเลยหันมาเลี้ยงโคเนื้อและสุกร
ด้วยบรรยากาศแบบท้องทุ่งและกลิ่นฟางทำให้มิลตันเติบโตขึ้นแบบคนชนบทโดยแท้
โดยเฉพาะวิธีคิดและการดำเนินชีวิตที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน
ชีวิตวัยเด็กก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่ทางด้านการเรียนมิลตันถือเป็นเด็กฉลาดและขยันคนหนึ่ง
เข้าเรียนชั้นประถมและมัธยมที่บ้านเกิดของตนเอง และจุดเปลี่ยนชีวิตเริ่มขึ้นเมื่ออายุ
16 ปี หลังจากสามารถสอบโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียน AFS ได้ ซึ่งจะได้สิทธิ์ไปศึกษาและเรียนรู้ยังต่างประเทศเป็นเวลา
1 ปี
ช่วงที่ตัดสินใจเลือกว่าตนเองสนใจอยากไปประเทศไหนนั้น มิลตันไม่ได้เจาะจงเลือกไทย
แต่เลือกประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งไม่ได้อยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา "ตอนนั้น
ยังไม่รู้จักเมืองไทย แต่ในใจคิดอยากจะไปเอเชีย แอฟริกา" มิลตันระลึกความหลังให้
"ผู้จัดการ" ฟัง
ในที่สุดคณะกรรมการโครงการ AFS ของออสเตรเลียตัดสินใจส่งมิลตันมายังประเทศไทยในปี
1984 ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้สัมผัสสยามเมืองยิ้ม เจ้าตัวบอกว่า
ค่อนข้างลำบากกับการจัดการชีวิต แม้จะมาเพียงแค่ปีเดียว เนื่องจากไม่รู้ภาษาและวัฒนธรรมไทย
ที่สำคัญ เขาไม่ได้มาศึกษาและเรียนรู้ประเทศไทยในเมืองกรุง แต่ถูกส่งไปยัง
อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โดยมิลตันบอกว่าที่ตะกั่วป่าเมื่อ 17 ปีที่แล้วกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก
"ตอนนั้นคนท้องถิ่นทำเหมืองแร่ และชาวบ้านแทบจะไม่เคยเห็นคนต่างชาติ เมื่อไปอยู่จะมีคนมาทักทาย
และยิ่งเป็นเด็กเลยเป็นจุดสนใจมากยิ่งขึ้น"
มิลตันพำนักอาศัยอยู่กับครอบครัวประพันธ์ และจุไร บุญสูง ตอนนั้นครอบครัวนี้มีอาชีพทำเหมืองแร่
ปัจจุบันหันมาทำฟาร์มกุ้ง ถือว่ามิลตันโชคดีที่ได้มาอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่นและเข้าใจฝรั่ง
รวมไปถึงได้อาจารย์และเพื่อนๆ ดี ส่งผลให้เขาสามารถปรับตัวในการเรียนรู้เกี่ยวกับเมืองไทยได้เร็ว
มิลตันเข้าเรียนร่วมกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนตะกั่วป่าเสนานุกูล และเขาใช้เวลาประมาณ
6-7 เดือน ในการฝึกพูดภาษาไทยจนเข้าใจได้พอสมควร "ตอนนั้นมีผลกระทบต่อตนเองมาก
เพราะเพื่อนพูดอังกฤษไม่ได้ เราก็พูดภาษาไทย ไม่ได้ ต่างคนต่างสงสารซึ่งกันและกันแต่ก็สนุก"
มิลตันเล่า
หลังจากเข้ามาในประเทศไทยครบ 1 ปี เขาก็กลับไปเรียนต่อจนจบมัธยมปลาย และก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยา
ลัย New South Wales ได้ ซึ่งเขาเลือกศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งหลักสูตรนั้น สามารถเรียนพร้อมกันได้
ว่ากันว่าที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ คณะนิติศาสตร์และแพทยศาสตร์เป็นคณะที่เข้ายากที่สุด
ซึ่งมิลตันมีคะแนนเรียนดีมากจึงมีสิทธิ์เรียน 2 คณะนี้ แต่เขาไม่เลือกแพทย์
ด้วยเหตุผลชอบเศรษฐศาสตร์มากกว่า
"ความจริงผมก็ไม่ชอบกฎหมาย แต่เนื่องจากมีคะแนนเรียนดีอาจารย์จึงให้เข้าเรียน
และยิ่งเข้าไปเรียนยิ่งไม่ชอบกฎหมายเลย โดยเฉพาะวิธีการปฏิบัติ แต่ในทางทฤษฎียังพอรับได้"
มิลตันเลือกศึกษากฎหมายทางธุรกิจควบคู่ไปกับวิชาเศรษฐศาสตร์ แต่เขากลับมองว่าวิชากฎหมายด้านสังคมน่าจะให้ประโยชน์มากกว่าและเป็นงานที่เขาสนใจ
แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำงานด้านนี้เลย แต่กลับเลือกทำงานด้านธุรกิจในบริษัทขนาดใหญ่ๆ
"เราจึงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจเท่านั้นและไม่เคยออกไปพบลูกค้าด้วยซ้ำ"
มิลตันบอก
ระหว่างศึกษาที่มหาวิทยาลัย รัฐบาลออสเตรเลียประกาศสอบชิงทุนในหน้าหนังสือพิมพ์ตามโครงการ
เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียกับประเทศในแถบเอเชีย มิลตันไม่รอโอกาสจึงไปสอบและก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ทุนรัฐบาล
การเลือกประเทศที่ตนเองสนใจ แน่นอนว่า มิลตันต้องเลือกประเทศไทย โดยรัฐบาลออสเตรเลียให้เขามาศึกษาร่วมกับนักศึกษาไทยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในปี 1992 หลังจากจบการศึกษาที่ New South Wales เพียงปีเดียว
เป็นการกลับมาประเทศไทยอีกครั้งของมิลตันในฐานะนักศึกษา หลังจากเคยมาในฐานะนักเรียนโครงการ
AFS แต่ความจริงแล้วหากมองในฐานะการมาไทยด้วยตนเองแล้วเขาเคยกลับมาเยี่ยมครอบครัวบุญสูง
อาจารย์และเพื่อนๆ ที่ตะกั่วป่าหลายครั้งในช่วงปี 1989-1991
ดูเหมือนว่าเขารักประเทศไทยอย่างมาก สังเกตได้จากแววตาและน้ำเสียงในช่วงให้สัมภาษณ์
"ผู้จัดการ"
"หลังจากกลับบ้านคราวนั้น คิดถึงเพื่อนๆ จนไม่มีความสุขในการอยู่ออสเตรเลีย
เพราะห่างจากเมืองไทย ช่วง 4 ปีแรกของการกลับบ้านไม่ได้กลับมาเลย เพราะคิดถึงเพื่อนมาก
คือ ความคิดยังเป็นเด็กๆ เลยไม่รู้ว่า อยากจะอยู่ประเทศไหนกันแน่"
หลังจากศึกษาที่จุฬาฯ ครบตามโครงการแล้ว มิลตันตัดสินใจอยู่เมืองไทยต่ออีกด้วยการเข้าไปศึกษา
ที่ธรรมศาสตร์ ในคณะนิติศาสตร์ภาคภาษาไทยในปี 1993-1994
หลังจากได้ปริญญาที่ธรรมศาสตร์แล้วก็กลับไปออสเตรเลีย และบริษัทแรกที่เข้าทำงานคือ
สำนักงานกฎหมาย Allen Allen & Hemsley แต่ทำงานได้เพียง 2 ปี เริ่มรู้สึกเบื่อ
จึงลาออกในช่วงสิ้นปี 1996 เพื่อไปฝึกเป็นทหารในหน่วยงานพิเศษคอมมานโดแห่งออสเตรเลีย
เป็นทหารอยู่ได้ 1 ปีก็ลาออกอีกครั้ง
เมษายน 1997 ฟิทช์ อิบคา ที่ออสเตรเลีย ประกาศรับสมัครนักวิเคราะห์ระบบธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
และ มีความรู้เกี่ยวกับเมืองไทย มิลตันจึงไปสอบทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน
มีแต่ทฤษฎีด้านเศรษฐศาสตร์ "ข้อดี คือ รู้จักเมืองไทยและภาษาไทย"
อีก 2 เดือนถัดมา เขาได้เป็นนักวิเคราะห์ชองฟิทช์ อิบคา ประจำออสเตรเลีย
แต่งานรับผิดชอบ คือ เขียนบทวิเคราะห์อุตสาหกรรมธนาคารไทยทั้งระบบ ดังนั้น
เขาจึงต้องเดินทางตลอดเวลา
มิลตันตั้งข้อสังเกตกับตนเองที่ผูกพันกับเมืองไทยว่า ช่วงที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
เป็นช่วงที่เกิดวิกฤติร้ายแรงถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกสมัยเรียนจุฬาฯ เป็นช่วงเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากการปฏิวัติยุค
รสช. และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ครั้งที่ 2 เมื่อเข้ามาทำงานที่ฟิทช์ อิบคา เป็นจังหวะที่เกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ
หลังจากทำงานเป็นนักวิเคราะห์ได้ระยะหนึ่งรู้สึกว่าตนเองชอบ ที่สำคัญรับผิดชอบงานในเมืองไทยด้วย
ทางบริษัทจึงส่งตัวเขาไปศึกษาต่อด้านการเงินที่สถาบันวิเคราะห์หลักทรัพย์แห่งออสเตรเลีย
นอกจากนี้ยังถูกส่งตัวไปศึกษางานที่สำนักงานประจำกรุงลอนดอนในด้านการวิเคราะห์ภาคอุตสาหกรรม
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ฟิทช์ อิบคา ต้องการให้มิลตันเข้ามารับผิดชอบงานในไทยเต็มตัวด้วยการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา
ต่อจากสิงคโปร์, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และฮ่องกงที่มีสำนักงานในปี 1994 และจีนเมื่อปี
1998
มิลตันใช้เวลาเจรจาและพบปะหาผู้ร่วมทุน ซึ่งถือว่าความสำเร็จของฟิทช์ เรทติ้งส์ในไทยเขาเป็นแม่ทัพโดยแท้
แม้ว่าเขาจะเอ่ยปากถ่อมตัวว่าไม่ใช่ผลงานของเขา แต่เขาภูมิใจอย่างมาก
ด้วยบุคลิกที่เอาการเอางาน อ่านภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว ผสมผสานกับความรู้จักเมืองไทยเหมือนเจ้าของประเทศ
ส่งผลให้การทำงานภายใต้การรับผิดชอบของเขาดูจะ ไม่แตกต่างไปจากองค์กรของคนไทยเลย