แฟคตอริ่งเป็นธุรกิจที่มีมาช้านานพร้อมๆ กับระบบการค้าแบบเงินเชื่อแต่มักทำในรูปธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ
ในย่านสำเพ็ง โบ๊เบ๊ พาหุรัด เป็นต้น ธุรกิจที่ทำกันมากคืออุตสาหกรรมสิ่งทอ
และพืชผลทางการเกษตร โดยผู้ขายสินค้าแบบให้เครดิตการค้า เมื่อเกิดภาวะเงินสดขาดมือก็จะนำเช็คหรือบิลส่งของไปขายกับแฟคเตอร์
โดยยินยอมจ่ายส่วนลดหรือดอกเบี้ยในอัตราหนึ่งเป็นการตอบแทน
การทำแฟคตอริ่งในรูปแบบบริษัทที่มีระบบงานชัดเจน เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ
10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเข้ามาของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งทำให้ระบบการค้าขายของไทยมีความเป็นสากลมากขึ้น
โดยมีการออกใบกำกับสินค้า (Invoice) มากขึ้นแทนการออกเช็คล่วงหน้า
อย่างไรก็ตามในระยะเริ่มต้น การทำแฟคตอริ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับของพ่อค้ารุ่นเก่าๆ
มากนัก เนื่องจากมักมองกันว่าอาจจะทำให้ลูกค้าของตนเกิดความไม่เชื่อถือและคิดว่าตนไม่มีเงินจนถึงขั้นต้องเอาใบกำกับสินค้าไปขาย
นอกจากนี้ตัวลูกหนี้การค้าเองก็อาจจะไม่มั่นใจในบริษัทแฟคตอริ่งเพราะมิใช่คู่ค้าโดยตรง
ทำให้เกิดปัญหาไม่ค่อยยอมจ่าย
แต่ในปัจจุบันพ่อค้าเข้าใจระบบแฟคตอริ่งมากขึ้น จึงหันมาใช้กันมากในยามที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นยิ่งในโลกการค้าปัจจุบันการทำธุรกิจส่วนใหญ่จะเป็นระบบเงินเชื่อ
และการกู้ยืมมาลงทุนจะทำให้ขยายตัวได้เร็วขึ้น เครื่องมือการเงินประเภทนี้จึงมีโอกาสขยายตัวตามไปด้วย
จากมูลค่าตลาดรวมเพียงไม่กี่ร้อยล้านบาทเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ณ วันนี้มีมูลค่าตลาดรวมกว่า
3 หมื่นล้านบาทโดยมีบริษัทแฟคตอริ่งทั้งสิ้นประมาณ 15 แห่ง และบริษัทลิสซิ่ง
หรือบริษัทเงินทุนที่ทำธุรกิจด้านนี้เป็นบริการเสริมอีกร่วม 10 แห่ง
รายใหม่ขอเอี่ยวเป็นทิวแถว
ในช่วง 1 ถึง 2 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทแฟคตอริ่งทั้งใหญ่และเล็กเกิดขึ้นใหม่เกือบ
10 แห่ง และสำหรับศักราชใหม่นี้ มีการคาดการณ์กันว่าจะมีผู้ที่เข้ามาทำธุรกิจนี้ไม่ว่าจะเปิดเป็นบริษัทแฟคตอริ่งโดยตรงหรือเป็นบริการเสริมในบริษัทของตนอีกนับ
10 แห่ง โดยบริษัทประเภทค้าปลีก และค้าส่งขนาดใหญ่ เช่น โรบินสัน เซ็นทรัลและซีพี
ขณะนี้มีการเจรจาร่วมทุนกับสถาบันการเงินหลายแห่งเพื่อทำธุรกิจดังกล่าว โดยมีฐานลูกค้าคือซัปพลายเออร์นั่นเอง
เหตุผลที่ในระยะหลังๆ มีผู้สนใจเข้ามาทำธุรกิจนี้กันมากมูลเหตุสำคัญคงมาจากส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงตลาดยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก
และการแข่งขันยังไม่รุนแรงเหมือนสถาบันการเงินอื่นๆ
ทั้งนี้ ยงยุทธ แก้วมณี ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสินเชื่อแฟคตอริ่งและลิสซิ่งบมจ.เงินทุนหลักทรัพย์
วอลล์สตรีทกล่าวยอมรับว่า ส่วนต่างดอกเบี้ยของธุรกิจแฟคตอริ่งสูงกว่าบริษัทเงินทุนทั่วไปจริง
โดยในส่วนของตนนั้นจะคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ MOR+1.5-3%
"อัตราดอกเบี้ยของเราจะอิงกับ MOR ของธนาคารกรุงเทพ แล้วจะบวกเท่าไหร่ก็ดูที่ลูกค้าและลูกหนี้การค้า
แล้ววิเคราะห์ภาพรวมออกมา เฉลี่ยก็ประมาณ MOR+1.5-3% ฉะนั้นถ้า MOR ลดลูกค้าก็จะได้ประโยชน์
เพราะเมื่อนำบิลใหม่มาวางทุกครั้งเราจะคิดตามอัตราใหม่ แต่จะคงที่สำหรับแต่ละบิลที่ขายมาแล้วในระยะเวลาหนึ่ง"
ยงยุทธขยายความ
นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมในการบริการบริการและจัดเก็บหนี้อีกส่วนหนึ่ง
ซึ่งโดยปกติจะทำเป็น 2 วิธี คือคิดเป็นอัตราตายตัวและคิดเป็นสัดส่วนต่อมูลค่าของใบกำกับสินค้าที่นำมาขาย
เรื่องกิตติ์ แก้วฟ้านภาดล กรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง
(SGF) ระบุว่า บริษัทมีส่วนต่างดอกเบี้ยประมาณ 4-4.5% โดยจะคิดดอกเบี้ยกับลูกค้าในอัตรา
14.5-17% ขณะที่บริษัทมีต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 11-12% นอกจากนี้ก็มีค่าธรรมเนียมในการบริการและจัดเก็บด้วย
สำหรับ บมจ.นครหลวงแฟคตอริ่ง ผไทบดี คูรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อและการตลาด
เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ยของ SCIF จะอยู่ประมาณ MOR+1-2.5% ทั้งนี้จะคิดตามจำนวนวันที่ลูกค้าเบิกเงินไปใช้ต่อปี
นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมในการบริการและจัดเก็บโดยคิดเป็นสัดส่วน 0.5%
ต่อมูลค่าของใบกำกับสินค้าที่นำมาขาย
การที่ธุรกิจแฟคตอริ่งมีกำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง ก็เป็นไปตามกฏทางการเงินที่ว่า
High Risk High Return หรือยิ่งเสี่ยงมากผลตอบแทนก็ยิ่งมาก เพราะแฟคตอริ่งเป็นธุรกิจที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องมีหลักประกัน
ขอเพียงแค่มีใบกำกับภาษีเท่านั้นเป็นใช้ได้ แม้บริษัทส่วนใหญ่จะทำเป็นแบบโอนสิทธิบอกไล่เบี้ยซึ่งทำให้สามารถตามเก็บหนี้ได้ทั้งจากลูกหนีการค้า
และตัวลูกค้าเองก็ตาม แต่หากทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย บริษัทก็ไม่สามารถยึดหลักประกันอะไรได้
นอกจากการเจรจาหรือฟ้องร้องให้ชำระหนี้ผ่านกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
แต่เท่าที่ดำเนินธุรกิจมาทั้งเรืองกิตติ์ ยงยุทธ และผไทบดี กล่าวตรงกันว่ายังไม่เคยพบปัญหาหนี้สูญเลย
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะการพิจารณาสินเชื่ออย่างรอบคอบมาตั้งแต่แรก ยิ่งมีความเสี่ยงสูงก็ยิ่งต้องรอบคอบมาก
การแข่งขันที่ยังไม่สูงนักเป็นเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง เมื่อดีมานด์ยังคงสูงกว่าซัปพลาย
บริษัทแฟคตอริ่งจึงยังสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในสัดส่วนที่สูง และคัดเลือกใบกำกับสินค้าได้มากต่อเมื่อการแข่งขันรุนแรงขึ้น ส่วนต่างจากดอกเบี้ยเหล่านี้จะค่อยๆ
ลดลงไป ซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านี้มีการพัฒนาตัวเองมากขึ้น และพยายามลดต้นทุนลงมาเพื่อชดเชยกับส่วนต่างดอกเบี้ยที่น้อยลง
อย่างไรก็ตามการจะเข้ามาแข่งขันในธุรกิจนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แม้การจัดตั้งบริษัทยังไม่มีระเบียบหรือกฎหมายพิเศษอะไรมากำหนด
เพียงจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้นก็สามารถดำเนินงานได้แล้ว
ยงยุทธ และผไทบดี ให้ความเห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องมีระบบซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพ
และทีมงานที่ชำนาญการจึงจะทำได้ประสบผลสำเร็จ
"เนื่องจากแฟคตอริ่งจะมีเอกสารจำนวนมาก มีความละเอียดซับซ้อน จึงต้องอาศัยซอฟต์แวร์เข้าช่วยมาก
ขณะที่ทีมงานตลาดและวิเคราะห์สินเชื่อก็ต้องมีความรอบครอบ และระมัดระวังในการพิจารณามาก
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเก็บหนี้ไม่ได้ และอาจจะมีปัญหาลูกค้านำบิลปลอมมาขายเมื่อเงินขาดมือจริงๆ"
ยงยุทธ ขยายความ
โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา บริษัทห้างร้านต่างๆ ขาดเงินทุนหมุนเวียน
การพิจารณาให้สินเชื่อก็จำเป็นต้องทวีความระมัดระวังขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เรือกิตติ์
ตั้งเป้าอัตราการขยายตัวของยอดการปล่อยกู้ในปีนี้เพียง 15% เท่านั้น เนื่องจากต้องดูทิศทางของธุรกิจก่อน
เขาคาดการณ์ว่า ปีนี้ความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนยังคงจะเพิ่มขึ้นอีกซึ่งจะเป็นโอกาสของธุรกิจแฟคตอริ่ง
แต่ก็จำเป็นต้องคัดเลือกอย่างระมัดระวังพิจารณาลูกค้า ลูกหนี้การค้าอย่างรอบคอบมากขึ้น
"ทุกวันนี้คนอยากกู้ยังมาก แต่คนไม่กล้าให้กู้ เพราะกลัวเก็บเงินไม่ได้
ช่วงนี้เราพิจารณาละเอียดมาก การเก็บหนี้ในช่วงหลังๆ มานี้ก็ได้ช้าลง เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ
คงต้องรอดูว่ารัฐบาลชุดใหม่จะดำเนินการตามแผนได้เร็วและเป็นผลมากน้อยแค่ไหน"
เรืองกิตติ์กล่าวเสริม
ทั้งนี้ SGF มียอดการปล่อยกู้ในปี 2539 ประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ
40% นับว่าเป็นอันดับหนึ่งในตลาด
สำหรับนครหลวงแฟคตอริ่ง ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 24% ของมูลค่าตลาดรวม
จัดเป็นอันดับ 2 ผไทบดี มองว่าคงขยายตัวประมาณ 20% ในปีนี้ โดยยอดการปล่อยกู้ปีที่ผ่านมามีอยู่ประมาณ
8,000 ล้านบาท
"ปีนี้เราคงจะขยายตัวแค่ประมาณ 20% เพราะต้องระมัดระวังในการให้สินเชื่อมากขึ้น
เราชะลอตัวมาตั้งแต่ปีก่อนแล้วเพื่อรอดูทิศทางธุรกิจ" ผไทบดีกล่าว
วอลล์สตรีทก็คงไม่แตกต่างกัน ยงยุทธตั้งเป้าเติบโตจากปี 2539 มียอดปล่อยกู้
3,900 ล้านบาท เป็น 4,500 ล้านบาทในปีนี้ หรือคิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 15%
เขามองว่าการที่บริษัทต่างๆ ตั้งเป้าเติบโตในสัดส่วนที่ไม่สูงนักเนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องของการแข่งขัน
ที่จะมีบริษัทหลายแห่งเตรียมการเข้ามาทำธุรกิจแฟคตอริ่งเพิ่มขึ้นในปีนี้
"การแข่งขันในธุรกิจนี้ขนาดที่ทุกคนเข้าไปนั้นยังไม่ใหญ่ คิดว่าต่างคนต่างก็มีลูกค้าของตัวเอง
จะมีเจอกันบ้างแต่ก็คงไม่มาก ไม่เหมือนธุรกิจเงินทุนซึ่งแต่ละที่มีขนาดใหญ่คนก็แย่งแชร์กัน
ส่วนแฟคตอริ่งแต่ละบริษัทยังเล็ก ผมว่ายังมีที่ให้ลงมาได้อีกค่อนข้างมาก"
ยงยุทธกล่าว
อย่างไรก็ตามการที่มีคนลงมาแข่งขันมากๆ ก็จะมีผลดีในแง่ของการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักธุรกิจนี้มากขึ้น
ซึ่งจะทำให้ภาพรวมมีการขยายตัวที่รวดเร็วขึ้นด้วย
ทั้งนี้บริษัทแฟคตอริ่งทั้งหลายต่างให้ความสำคัญในการเผยแพร่ความรู้มากโดยมีแนวคิดร่วมกันว่าจะมีการจัดตั้งสมาคมแฟคตอริ่งขึ้นมา
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน และมีการถ่ายทอดไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการช่วยกันผลักดันหน่วยงานราชการให้เข้ามาดูแลส่งเสริมธุรกิจแฟคตอริ่งให้มากขึ้น
เรืองกิตติ์ อธิบายว่า "เราอยากให้คลังเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการโอนสิทธิเรียกร้อง
เพราะคลังจะเป็นผู้ที่ให้งบประมาณต่างๆ ออกมาตามที่ขอและใช้ ตอนนี้หน่วยงานราชการทั่วไปจะไม่ยอมรับแจ้งโอนสิทธิ
เช่น กสท. ทศท. โดยอ้างว่าที่ผ่านมาจะแจ้งโอนสิทธิเฉพาะธนาคารและบริษัทเงินทุนซึ่งความจริงคลังมีหนังสือเวียนว่าการโอนสิทธิเรียกร้องสามารถทำได้
แต่หน่วยงานที่จะชำระเงินสามารถหักกลบลบหนี้ได้มีมานานแล้ว ช่วงหลังพอแจ้งโอนสิทธิเราจะถ่ายสำเนาหนังสือเวียนนี้แนบไปด้วยเลยเขาจะได้เข้าใจ"
อย่างไรก็ตาม บางหน่วยงานกลับระบุไว้ในสัญญาเลยว่าห้ามโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งเรืองกิตติ์
มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนักในสังคมเสรีอย่างเช่นนี้
ทั้งนี้คาดว่าสมาคมดังกล่าวจะสามารถจัดตั้งได้ภายในปีนี้ โดยสมาชิกเริ่มแรกจะเป็นบริษัทแฟคตอริ่งประมาณ
12-15 แห่งที่อยู่ในปัจจุบัน
เปิดกลยุทธ์รับการแข่งขัน
สำหรับแผนงานของบริษัทแฟคตอริ่งในปีนี้ นอกจากการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
พร้อมทั้งชะลอการขยายตัวลงเพื่อดูทิศทางแล้ว ส่วนใหญ่จะเน้นการลดต้นทุนต่างๆ
ลงไปด้วย เพื่อรักษาส่วนต่างของดอกเบี้ย
สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง ปีนี้มุ่งเน้นที่การพัฒนาทีมงาน และลดขั้นตอนการทำงานเป็นสำคัญ
"ตอนนี้ทุกคนจะถูกนำมาติวเข้มอีกครั้ง และความยืดเยื้อในขั้นตอนต่างๆ
จะลดลงไป เราจะหันมาทำงานแบบห้องบังคับการ คือทุกคนมานั่งในห้องทั้งหมดตั้งแต่กรรมการผู้จัดการทำงานแล้วจบออกมาทีเดียวเลย
จะได้ไม่เสียเวลา ปีนี้จะไม่มีการขยายสาขา แต่จะเพิ่มขีดความสามารถของสาขาให้เป็นศูนย์บริการ
มีรัศมีทำการมากขึ้นเป็น 100-200 กิโลเมตร โดยเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วย"
เรืองกิตติ์อธิบาย
ปัจจุบัน SGF มีทีมงานการตลาดประมาณ 60 คน โดยแบ่งเป็นประจำสำนักงานใหญ่
12 คน และประจำสาขา สาขาละ 4 คน รวม 12 สาขา
ทุกคนทำทางด้านการตลาดและวิเคราะห์สินเชื่อด้วย โดยแบ่งออกเป็นหลายอุตสาหกรรม
สำหรับปีนี้ เรืองกิตติ์มองว่า อุตสาหกรรมอะไหล่รถยนต์จะเข้ามามีบทบาทมาก
ซึ่งทาง SGF ก็เตรียมเข้าไปทำตลาดมากขึ้น นอกจากนี้อุตสาหกรรมเคมีก็ยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่
ในส่วนของพอร์ตการปล่อยสินเชื่อจะมุ่งเน้นขยายฐานลูกค้ารายใหญ่มากขึ้นซึ่งขณะนี้ลูกค้าระดับกลางถึงใหญ่มีสัดส่วนพอร์ตถึง
55% แต่ปีนี้เรืองกิตติ์คาดว่าจะเพิ่มเป็น 80% โดยมองในเรื่องของการประหยัดต้นทุนค่าเอกสาร
และกำลังคนเป็นหลัก
นอกจากนี้เขาได้วางแผนจัดตั้งทีมการตลาดอิสระขึ้นมาชุดหนึ่ง ประมาณ 5 คน ทีมนี้จะทำหน้าที่ด้านการตลาดอย่างเดียวและไม่จำเป็นต้องเข้ามาในบริษัท
แต่ทางบริษัทจะตั้งเป้าหมายเพื่อให้ทีมงานเหล่านี้ไปติดต่อ และจะให้ผลตอบแทนตามชิ้นงาน เมื่อลูกค้าเข้ามาขอใช้วงเงินกับบริษัท
"ที่เราเริ่มแค่ 5 คน เพราะต้องการอบรมดูแลกันอย่างใกล้ชิด โดยอาจจะแบ่งเป็นอุตสาหกรรมให้เขาไป
ทีมงานนี้จะเหมือนการทำไดเร็กต์เซลล์เลย ปีนี้จะเป็นการเริ่มต้นดูก่อน และถ้าหากเป็นจริงตามที่คาด
เราอาจจะมียอดการปล่อยสินเชื่อที่มหัศจรรย์ทีเดียว" เรืองกิตติ์กล่าว
การทำอย่างนี้จะช่วยให้ SGF ไม่จำเป็นต้องเพิ่มพนักงานประจำขึ้นอีก ทั้งนี้บริษัทเองไม่ได้รับพนักงานเพิ่มขึ้นเลยในช่วง
3-4 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีพนักงานลาออกไปก็ไม่มีการรับเพิ่ม ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทลดลงไป
จากงบการเงินงวด 9 เดือนปี 2539 พบว่า SGF มีกำไรสุทธิรวม 88.78 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2538 ถึง 132%
คาดว่าปี 2539 นี้บริษัทจะมีการขยายตัวของกำไรเพิ่มขึ้นจาก 50.45 ล้านบาทในปี
2538 มาเป็น 110 ล้านบาทในปี 2539 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 100% ซึ่งทำให้ไม่เกิด
Dilution Effect จากการเพิ่มทุนจดทะเบียนในเดือนมีนาคม 2539 เลย
เรืองกิตติ์ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะ SGF ไม่เผชิญกับภาวะความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในปีก่อน
เพราะบริษัทได้มีการเพิ่มทุนในเดือนมีนาคมได้เงินมาประมาณ 500-600 ล้านบาท
ประกอบกับการกู้เงินจากต่างประเทศมาอีก 800 ล้านบาททำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยของบริษัทในปีก่อนค่อนข้างคงที่
สำหรับแหล่งเงินในปีนี้เขากล่าวว่า "ด้านแหล่งเงินกู้นั้นเรากลัวว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐจะแข็งขึ้น
เราต้องซื้อลดความเสี่ยง หรือกู้แบบบาสเก็ต (กู้หลายสกุล) แต่คงกู้อีกไม่มากและอาจจะกู้ในไตรมาสสองเพราะไตรมาสแรกคงต้องดูทิศทางก่อน
ถ้าเอามาแล้วไม่ได้ปล่อยก็จะเป็นภาระดอกเบี้ยของเราอีก"
เรืองกิตต์ มองว่าปีนี้ดอกเบี้ยอาจจะอ่อนตัวลง เนื่องจากโครงการใหม่ๆ ใหญ่ๆ
ของภาคเอกชนคงจะเกิดขึ้นไม่มากอาจจะมีก็จากภาครัฐ ฉะนั้นเงินระยะสั้นอาจจะเหลือ
ทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นลดลง 1-1.5% ดังนั้นปีนี้ SGF อาจจะกู้ภายในประเทศก็เป็นได้
ในส่วนของนครหลวงแฟคตอริ่งนั้น ผไทบดีเปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีสาขาอยู่
3 แห่ง คือที่ ศรีนครินทร์ สุขสวัสดิ์และหนองแขม คาดว่าปีนี้จะเปิดเพิ่มขึ้นอีก
1-2 แห่ง โดยเดือนนี้จะเปิดสาขาใหม่ที่นนทบุรี บริษัทมีทีมการตลาดในสำนักงานใหญ่ประมาณ
15 คน และประจำสาขาอีกสาขาละ 2 คน
ทั้งนี้นโยบายยังคงเน้นเรื่องคุณภาพสินเชื่อและการให้บริการ ซึ่งผไทบดีมองว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่ง
พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า การเก็บหนี้จะมีการแจ้งให้ลูกค้าทราบทุกระยะ เมื่อถึงกำหนดจัดเก็บแล้วเก็บเงินได้หรือไม่
บริษัทจะแจ้งลูกค้าอย่างช้าในวันรุ่งขึ้น ซึ่งลูกค้าสามารถโทรฯ เช็กได้ จะไม่มีที่ว่าไปเก็บบริษัทไปเก็บช้ากว่ากำหนดแล้วลูกค้าก็ต้องรับภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
และจะพยายามเก็บหนี้ให้ใกล้เคียงกับที่ลูกค้าไปเก็บเองมากที่สุด
"เราจะคิดอัตราดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือนตามจำนวนวันที่ลูกค้านำเงินไปใช้
ที่ไม่ใช้วิธีส่วนลด (Discoun) เนื่องจากทุกสิ้นเดือนถ้าบิลเก็บไม่ได้ตามที่หักส่วนลดไว้ก็ต้องมาคิดกันอีกในภายหลัง
ซึ่งจะไม่เหมาะสมนักกับธุรกิจแฟคตอริ่ง" ผไทบดีขยายความ
พอร์ตสินเชื่อของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าขนาดกลางถึงเล็ก ซึ่งจะยังคงเน้นต่อไป
เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่มักจะมีแหล่งเงินทุนมากกว่า ขณะที่รายเล็กๆ มีแหล่งทุนที่จำกัด
ซึ่งจะเหมาะสมกับนครหลวงฯ นอกจากนี้ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย ซึ่งไม่เฉพาะแต่จุดนี้นครหลวงฯ
มีการกระจายความเสี่ยงไปในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโตจนเกินไป สำหรับปีนี้อุตสาหกรรมที่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากที่สุดคือสิ่งทอ
และเหล็ก
นอกจากนี้ SCIF ยังได้เข้าเป็นสมาชิกของ Factors Chains International
(FCI) เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ซึ่งทำให้บริษัทสามารถขยายบริการออกไปในต่างประเทศ
มีการทำแฟคตอริ่งส่งออกและนำเข้าด้วย โดย FCI Chains นับเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้
คือมีบริษัทสมาชิก 122 แห่ง ใน 46 ประเทศทั่วโลก
ในส่วนของแหล่งเงินทุนนั้น ส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันทั้งในและต่างประเทศ
และในปีนี้บริษัทมีแผนงานจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วย โดยทำการจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
และผ่านการอนุมัติของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) แล้วเมื่อปลายปี 2539 ขณะนี้กำลังรอดูจังหวะกระจายหุ้นเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้
โดยจะเพิ่มทุนจาก 180 ล้านบาท เป็น 250 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การแข่งขันของ บงล.วอลล์สตรีท ปีนี้ ยงยุทธ เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ใหม่
โดยพัฒนาร่วมกับบริษัทซิลเวอร์เลค ซึ่งมีฐานอยู่ในมาเลเซีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระบบและปรับปรุงแก้ไข
คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาสสอง
ปกติการคิดอัตราดอกเบี้ยของธุรกิจแฟคตอริ่งจะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ การให้ส่วนลด
การชำระดอกเบี้ย ณ สิ้นเดือน และการจ่ายแบบบอลรูม (Ballroom Payment) ซึ่งเอกสารประเภทบิลวอลล์สตรีทจะคิดแบบบอลรูม
และถ้าเป็นบิลประกอบเช็คจะคิดแบบให้ส่วนลด
"เมื่อซอฟต์แวร์เสร็จ เราจะเป็นแห่งเดียวที่ขายสินค้าได้ทุกประเภท
ลูกค้าจะเลือกได้ว่าอะไรที่เหมาะสมกับเขา ถ้าเป็นบิลจะคิดได้ทั้ง 3 แบบ แต่ถ้าบิลประกอบเช็คจะคิดแบบให้ส่วนลดอย่างเดียว
ซึ่งจะยืดหยุ่นมาก ในส่วนค่าธรรมเนียมเราก็จะคิดได้ทั้ง 2 วิธี คือคิดตามมูลค่าของเอกสารนั้น
เช่น 0.5% หรือ 0.25% หรือจะคิดแบบคงที่เป็น 200, 300 หรือ 500 บาทก็ได้"
ยงยุทธกล่าว
ซอฟต์แวร์ที่สมบูรณ์แบบจะช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่
และช่วยให้ขั้นตอนการทำงานของพนักงานน้อยลง ทุกวันนี้วอลล์สตรีทมีพนักงาน
การตลาดและวิเคราะห์สินเชื่อแฟคตอริ่งประจำสำนักงานใหญ่เพียง 4 คน และฝ่าย
ประสานงานอีก 4 คน ในส่วนที่ประจำสาขาจะเป็นพนักงานรวมของบริษัททำหน้าที่ด้านนี้ด้วยยังไม่มีการแยกอย่างชัดเจน
วอลล์สตรีทมีสำนักอำนวยสินเชื่อทั้งสิ้น 5 แห่ง ซึ่งในปีนี้จะเปิดเพิ่มขึ้นอีก
5 แห่ง เมื่อรวมกับที่เยาวราชแล้วจะมีสำนักอำนวยสินเชื่อรวมภายในปีนี้ 11
แห่งแต่ละแห่งมีพนักงานประจำ 7 คน
ยงยุทธ เล่าว่า "พนักงาน 7 คน ต้องทำได้ทุกอย่าง ขายได้หมด ไม่ใช่ว่าเพิ่มคนสำหรับทำแฟคตอริ่งโดยเฉพาะ
ขณะนี้เปิดดำเนินการเรื่องแฟคตอริ่งใน 2 สาขา คือที่ตรังและเชียงใหม่เท่านั้น
แต่หลังจากซอฟต์แวร์ใหม่เสร็จ เราจะบุกทั่วประเทศ"
การทำแฟคตอริ่งเป็นแผนกหนึ่งในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จะมีความได้เปรียบในเรื่องที่สามารถขายสินเชื่อแฟคตอริ่งแบบเป็นแพ็กเกจ
หรือเป็นโปรเพจไฟแนนซ์ได้ ซึ่งยงยุทธก็ใช้แนวทางนี้ในการขยายตลาดเช่นกัน
โดยมีฐานลูกค้าจากวอลล์สตรีท เขามองว่าแฟคตอริ่งเป็นสินเชื่อชนิดหนึ่ง ซึ่งจะทำให้วอลล์สตรีทมีบริการสินเชื่อที่ครบวงจรมากขึ้น
"ปีนี้เราเน้นงานราชการ และวิสาหกิจเป็นหลัก สิ่งที่เราแข่งได้คือเราจัดแพ็กเกจให้เรามีหนังสือรับประกันงานให้
เรามีเงินหมุนเวียนประเภทอื่น เช่น จัดตั๋วสัญญาใช้เงินให้ส่วนหนึ่งเมื่อเริ่มทำงาน
เมื่องานเสร็จก็มาขายงวดงานกับเรา เราจะจัดกับลูกค้าเลยว่าเขาควรจะบริหารเงินอย่างไรโดยทำเป็นวงจรซึ่งจะเป็นจุดขายของเราในปีนี้"
ยงยุทธยกตัวอย่าง
อย่างไรก็ตามภาพของแฟคตอริ่งในลักษณะนี้อาจจะไม่ชัดเจนเท่าการจัดตั้งออกมาเป็นบริษัทแฟคตอริ่งโดยตรง
ซึ่งจะดูเป็นมืออาชีพมากกว่า
การที่วอลล์สตรีทหันมาเน้นงานราชการ เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงในเรื่องการไม่ได้รับชำระเงิน
แต่อาจจะเสี่ยงในการได้รับชำระเงินช้า ซึ่งบริษัทก็สามารถเรียกค่าปรับกับลูกค้าได้
นอกจากนี้หากพิจารณากันดีๆ แล้วจะพบว่าไฟแนนซ์มีความได้เปรียบในตลาดงานราชการเนื่องจากเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว
ขณะที่บริษัทแฟคตอริ่งโดยตรงอาจจะมีปัญหาที่หน่วยงานราชการบางแห่งไม่ยอมรับเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้อง
เนื่องจากไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับแฟคตอริ่งอย่างชัดเจนออกมา
ในส่วนของลูกค้าเอกชน วอลล์สตรีทเน้นที่ลูกค้าขนาดกลาง ซึ่งมีวงเงินประมาณ
10-20 ล้านบาทเป็นหลัก โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากส่วนต่างของดอกเบี้ยค่อนข้างดี
ขณะที่รายใหญ่วอลุ่มสูงแต่ส่วนต่างน้อย รายเล็กก็มีความเสี่ยงสูงปัจจุบันพอร์ตลูกค้าแฟคตอริ่งของวอลล์สตรีทเป็นลูกค้าขนาดกลางกว่า
50%
แม้ในปีนี้จะมีบริษัทต่างๆ ทั้งแฟคตอริ่งโดยตรง และที่เปิดแฟคตอริ่งเป็นบริการเสริมเข้ามาเล่นในตลาดนี้มากขึ้นแต่กว่าที่บริษัทเปิดใหม่เหล่านี้จะแข่งขันได้อย่างเต็มที่ยังไม่สามารถทำได้ภายในเวลา
1-2 ปี นอกจากนี้มูลค่าตลาดรวมของแฟคตอริ่งก็เติบโตขึ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงประมาณ
30-40% มาโดยตลอดบรรดาผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงมองว่าการแข่งขันในธุรกิจนี้ยังคงไม่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับธุรกิจการเงินอื่นๆ
และยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก อย่างไรก็ดีการพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้มีความพร้อมในการแข่งขันคือปรัชญาของความไม่ประมาท