แชร์ชม้อยเริ่มปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อเดือนตุลาคมปี 2526
มิถุนายน 2528 วงแชร์ชม้อยถึงจุดจบ ชม้อย ทิพย์โส ถูกจับกุม
รวมระยะเวลาแล้วก็ 1 ปีกับอีก 9 เดือน
เป็น 1 กับ 9 เดือนแห่งมรสุมและความตอแหลชนิดที่ไม่อายฟ้าอายดินจริงๆ
ในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2526 นั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ประชาชนทั่วไปเริ่มรู้จักแชร์ชม้อย
จากข้อเขียนของคอลัมนิสต์หลายคนบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันแทบทุกฉบับ
แชร์ชม้อยถูกแนะนำภายใต้ชื่อ “แชร์รถน้ำมัน” ซึ่งผู้เล่นจะต้องลงเงินคิดเป็นจำนวนคันรถ
แต่ละคันรถมีมูลค่า 160,000 บาท ได้ค่าตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุนเดือนละ
10,000 บาท หรือ 6.25% หากคิดกันเป็นปีก็เท่ากับจะได้ผลตอบแทนประมาณ75%
และประชาชนก็ได้รู้ด้วยว่า เจ้าของแชร์รถน้ำมันนี้ชื่อ ชม้อย ทิพย์โส พนักงานชั้นผู้น้อยคนหนึ่งของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
จากการที่แชร์ชม้อยเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างมากๆ เรียกว่าสูงอย่างผิดปกติจากการลงทุนหรือการทำธุรกิจโดยทั่วๆ
ไป อีกทั้งเจ้าของวงแชร์ก็เป็นเพียงพนักงานชั้นผู้น้อยของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งเท่านั้น
เรื่องของแชร์ชม้อยก็เลยเป็นเรื่องที่มีการตั้งคำถาม
เป็นการระดมเงินไปทำธุรกิจน้ำมันจริงหรือไม่
เป็นไปได้ไหมที่อาจจะมีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลัง
หรือว่าเป็นขบวนการที่ทำธุรกิจลึกลับบางอย่าง
และมีคอลัมนิสต์หลายคนที่เชื่อว่าเป็นพฤติกรรมต้มตุ๋นประชาชน
เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ของการเขียนถึงแชร์ชม้อยในช่วงแรกๆ จึงเป็นข้อเขียนที่แสดงทัศนะชี้แนะให้รัฐบาลโดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบช่วยกันตรวจสอบข้อเท็จจริง
เพื่อขจัดความคลางแคลงสงสัยให้หมดไป
ก็ดูเหมือนว่าคอลัมนิสต์ทั้งหลายจะกระทุ้งกันได้ผล เพราะหลังจากนั้น อบ
วสุรัตน์ รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ก็เริ่มให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องแชร์น้ำมันเป็นเรื่องโกหก
ไม่ได้มีการค้าน้ำมันแต่ประการใด (จากหน้า 4 ของไทยรัฐ)
และที่หน้า 4 ไทยรัฐอีกเหมือนกันที่ “ไต้ฝุ่น” บอกว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
สั่งการให้รัฐมนตรีอบรายงานเรื่องแชร์รถน้ำมันโดยตรงเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นไป
(ไทยรัฐฉบับวันที่ 10 พ.ย.2526)
เรื่องของแชร์ชม้อยก็กลายเป็นเรื่องระดับชาติไปตั้งแต่วันนั้น
เมื่อถูกกระทุ้งมากและเริ่มมีข่าวว่าคนในคณะรัฐบาลให้ความสนใจแม้กระทั่งตัวพลเอกเปรม
นายกรัฐมนตรี
ชม้อย ทิพย์โส และนาวาอากาศโทพจน์ ทิพย์โส-สามี ก็เลยต้องออกมาให้สัมภาษณ์ไทยรัฐฉบับวันที่
12 พฤศจิกายน 2526 บอกว่า นำเงินไปลงทุนค้าน้ำมันจริงๆ และทำธุรกิจนี้มานานแล้ว
โดยทาง น.ท.พจน์เปิดเผยว่าทำมาตั้งแต่ปี 2510 แต่ชม้อยปฏิเสธว่าไม่ใช่ ส่วนจะเป็นปีไหนแน่ไม่ได้บอก คงยืนยันว่าเป็นเรื่องการค้าธรรมดาที่ตนนำเงินไปลงทุนกับปั๊มน้ำมันต่างๆ
ทั่วประเทศในรูปการเอาเงินไปให้ปั๊มกู้ดำเนินธุรกิจ ไม่ได้เป็นธุรกิจลึกลับอย่างที่หนังสือพิมพ์เข้าใจกัน
การให้สัมภาษณ์ของชม้อย ทิพย์โส ปรากฏว่าถูกโต้กลับทันทีในวันรุ่งขึ้น
รายแรกที่โต้กลับก็คือเจ้าของปั๊มน้ำมันหลายแห่งซึ่งบอกว่าอ่านบทสัมภาษณ์ชม้อยแล้วขบขันมาก “เราจะไปโง่จ่ายดอกเบี้ยเดือนละ
6.5% ทำไม ในเมื่อดอกเบี้ยธนาคารอย่างสูงสุดก็ 17% ต่อปี” เจ้าของปั๊มแห่งหนึ่งพูดกับไทยรัฐ
ส่วนอีกรายคือ เสรี ทรัพย์เจริญ เสรีกล่าวว่าเขาไม่เชื่อว่าแชร์ชม้อยจะเป็นของจริงเพราะเกินวิสัยที่จะทำได้และจะต้อง
“แตกดังโพละ” สักวันหนึ่ง
นอกจากนี้ วิทย์ ตันตยกุล อธิบดีกรมสรรพากรก็เริ่มให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า
กำลังติดตามดูพฤติการณ์ของชม้อย ทิพย์โส อยู่เพราะมีรายได้มหาศาลแต่ไม่ทราบว่าแจ้งการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่
แล้วยังมีนักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการอีกหลายคนที่ออกมาพูดเกี่ยวกับแชร์รถน้ำมันของชม้อย
ซึ่งส่วนใหญ่มองไปในทางลบทั้งสิ้น
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2526 หนังสือพิมพ์หลายฉบับบอกว่าลูกค้าแชร์แม่ชม้อยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นทหารอากาศ
ทาง พล.อ.อ.ชากร ทัตตานนท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ จึงต้องให้สัมภาษณ์ว่า
จะมีทหารอากาศเล่นแชร์กันมากหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องของกองทัพอากาศ
พอวันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 อบ วสุรัตน์ ก็ประกาศเปรี้ยงออกมาว่า จะตั้งกรรมการขึ้นสอบชม้อย
ทิพย์โส และเจ้าหน้าที่การปิโตรเลียมทุกคนให้รู้ผลภายใน 7 วัน จะได้ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์กันให้ปวดหัวต่อไป
ด้านพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ก็บอกว่าที่มีข่าวซุบซิบกันว่าตนอยู่เบื้องหลังนั้น
ตนขอปฏิเสธ เพราะไม่เคยยุ่งเกี่ยวและไม่เคยเล่นด้วย ส่วนเรื่องจะจัดการอย่างไร ตนไม่ทราบเพราะไม่ใช่ตำรวจ
พลเอกอาทิตย์ย้ำว่า การแอบอ้างชื่อของตนนั้นขออย่าได้หลงเชื่อเด็ดขาด
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2526 ทองฉัตร หงส์ลดารมภ์ ผู้บังคับบัญชาของชม้อย
ทิพย์โส เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ว่า กรณีชม้อย การปิโตรเลียมได้สอบกันมาแล้วถึง
2 ครั้ง แต่ก็ยังไม่พบความผิด จึงไม่สามารถจะดำเนินการใดๆ ได้
อาจจะพูดได้ว่าก่อนหน้าการให้สัมภาษณ์ของชม้อย สถานการณ์เป็นลบอย่างไรหลังการให้สัมภาษณ์แล้วก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น หรือเลวร้ายกว่าเก่าด้วยซ้ำ
สำหรับชม้อย ทิพย์โส ก็มีความจำเป็นอย่างมากๆ ที่จะต้องเคลื่อนไหวอีกครั้งเป็นระลอกที่สอง
คราวนี้ชม้อยให้ชมพู อรรถจินดา ทนายดังออกมาแถลงแทน
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2526 ทนายชมพูช่วยแก้ต่างแทนชม้อยว่าธุรกิจของชม้อยเป็นธุรกิจ
“จัดคิวเงิน” ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านการเงิน เหมือนๆ กับการจัดคิวรถ
คือจัดการให้กับคนที่ต้องการกู้เงินชั่วคราวกับคนที่ต้องการให้กู้ ส่วนจะใช้เทคนิคการจัดคิวอย่างไรนั้น
ตนไม่ทราบ
“สื่อมวลชนทั้งหลายขอได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่นางชม้อยด้วย” ทนายชมพูเรียกร้อง
หลังการออกมาแถลงของทนายชมพูจึงเปลี่ยนจาก “ปล่อยเงินกู้ให้ปั๊มน้ำมัน”
มาเป็น “ธุรกิจจัดคิวเงิน” แล้ววันที่ 28 พฤศจิกายน 2526 สรรพากรก็ประกาศสวนออกมาว่า
จะเรียกเก็บภาษีจากชม้อย ทิพย์โส เพราะตรวจสอบพบว่ามีเงินฝากนับพันล้านบาทใน
4 ธนาคาร ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีอบก็ให้สัมภาษณ์ว่า ชม้อย ทิพย์โส
พยายามหลบเลี่ยงไม่ยอมให้ปากคำ การสอบสวนจึงไม่ค่อยคืบหน้ามาก
จนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2526 ก็มีข่าวว่าชม้อย ทิพย์โส ยินยอมให้ปากคำกับคณะกรรมการสอบสวนของกระทรวงอุตสาหกรรม
ชม้อยมาพร้อมกับทนายชมพู ทั้งนี้ อบ วสุรัตน์ ร่วมฟังการให้ปากคำอยู่ด้วย
วันที่ 1 ธันวาคม 2526 สรรพากรออกหมายเรียกชม้อยให้มาพบ เพื่อพิสูจน์ว่ามีเงินจำนวนมหาศาลได้อย่างไร
นักข่าวของไทยรัฐพยายามจะถ่ายภาพหมายเรียกซึ่งติดไว้หน้าคฤหาสน์ของชม้อย
แต่ถูกทหารอากาศกลุ่มหนึ่งเข้าขัดขวางและทุบรถตระเวนข่าวเสียหาย
วันที่ 2 ธันวาคม 2526 ธนาคารแห่งประเทศไทยสอบพบว่าชม้อยได้แตกเงินก้อนโตในธนาคารทุกแห่ง
โดยนำไปกระจายฝากในนามผู้อื่นหลายบัญชี ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเรื่อยมา
ส่วนผู้บัญชาการทหารอากาศก็กล่าวว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับแชร์ชม้อยและไม่เคยสั่งให้ทหารอากาศไปอารักขาชม้อย ทิพย์โส
หลังวันที่ 2 ธันวาคม 2526 แล้ว เรื่องแชร์ชม้อยก็หายเงียบไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
มาโผล่อีกครั้งก็ล่วงเข้าเดือนสิงหาคมปี 2527
วันที่ 28 สิงหาคม 2527 ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ยอมรับว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถควบคุมแชร์ได้
แต่ก็มีความเป็นห่วงเพราะแชร์ขยายตัวเร็วมาก ธนาคารแห่งประเทศไทยได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการตรวจสอบพฤติการณ์อยู่ตลอดเวลา และได้ออกมาตรการเตือนธนาคารต่างๆ
ไม่ให้สนับสนุนโดยการเพิ่มโอดีสำหรับไปเล่นแชร์ อย่างไรก็ตาม การขจัดปัญหาการเล่นแชร์เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล
วันที่ 29 สิงหาคม 2527 กระทรวงการคลังเปิดประชุมด่วนพิจารณาปัญหาแชร์น้ำมันของชม้อย
ซึ่งคณะรัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงความห่วงใยไม่ต้องการให้ขยายตัวมากกว่านี้
แต่ที่ประชุมยังหาข้อสรุปในเรื่องมาตรการแก้ไขไม่ได้
วันที่ 7 กันยายน 2527 กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีกับชม้อย ทิพย์โส และหนังสือพิมพ์หลายฉบับยืนยันว่าเป็นจำนวนเงิน
84 ล้านบาท
วันที่ 8 กันยายน 2527 มีข่าวการปรากฏตัวของชม้อย ทิพย์โส ในงานดุสิต-จิตรลดา
โดยมาเป็นผู้เดินแบบและยังได้ประมูลพัดที่ขายในงานไปด้วยราคา 1 แสน 5 หมื่นบาท
ด้านการปิโตรเลียมก็แถลง ชม้อย ทิพย์โส ลาออกจากงานไปแล้วตั้งแต่วันที่
5 เมษายน 2527
วันที่ 9 กันยายน 2527 คณะรัฐมนตรีเตรียมออกพระราชกำหนดเพื่อควบคุมการเล่นแชร์
สมหมาย ฮุนตระกูล บอกว่าจะเป็นพระราชกำหนดที่ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ในการจัดการกับธุรกิจแชร์
ข่าวการออกพระราชกำหนดฯ นี้สะเทือนวงแชร์ชม้อยมาก มีรายงานข่าวระบุว่า ลูกแชร์เมื่อทราบข่าวก็มีความเห็นแตกแยกเป็น 2 ฝ่ายทันที ฝ่ายหนึ่งยังเหนียวแน่นอยู่เพราะเห็นชม้อยฝ่าคลื่นลมมาได้ตั้งนาน
แม้จะมีหนังสือพิมพ์ตีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็คงจะฝ่าต่อไปได้ ส่วนอีกฝ่ายรีบถอนเงินคืนทันที
วันที่ 11 กันยายน 2527 มีข่าวถูกปล่อยออกมาว่า ชม้อย ทิพย์โส ได้ติดต่อขอเข้าพบสุธี
สิงห์เสน่ห์ รัฐมนตรีช่วยคลัง และชม้อยบอกว่าจะเลิกวงแชร์ พร้อมกับยินดีจะเปิดเผยข้อเท็จจริงทุกประการเกี่ยวกับธุรกิจที่ทำอีก
ทั้งจะนำทรัพย์สินของตนออกมาเฉลี่ยคืนเงินให้กับลูกแชร์ทุกรายด้วย
นับว่าเป็นข่าวที่มีผลกระเทือนมาก เพราะสำหรับลูกแชร์ที่กำลังลังเลแล้วก็คงต้องตัดสินใจถอนเงินที่ลงไปคืนในทันที
ไม่ต้องลังเลอีกต่อไป
วันที่ 12 กันยายน 2527 ชม้อยก็เลยต้องออกมาแถลงอีกครั้งว่า ไม่เคยเข้าพบเจ้าหน้าที่ของรัฐแม้แต่คนเดียว
และยืนยันว่าธุรกิจของตนจะไม่ล้ม เรื่องที่ชม้อยแถลงครั้งนี้มีการแพร่ภาพทางช่อง
5 และช่อง 7 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ของกองทัพบกด้วย ส่วนช่อง 3 และช่อง 9
ของรัฐบาลไม่มีข่าวเรื่องนี้ออกเผยแพร่
ไตรรงค์ สุวรรณคีรี วิจารณ์การแพร่ภาพของช่อง 5 และช่อง 7 ว่าเป็นการกระทำที่ขัดนโยบายรัฐบาล
วันที่ 13 กันยายน 2527 พลเอกอาทิตย์ต้องออกโรงประกาศปกป้องช่อง 5 และช่อง
7 ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านั้นช่อง 9 ออกข่าวที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ก็เลยต้องให้ความเป็นธรรมกับนางชม้อย
“อันนี้ผมเป็นคนอนุมัติให้ทั้ง 2 ช่องเขาออกอากาศได้ ใครจะว่าอะไร ให้มาว่ากับผม”
พลเอกอาทิตย์ตบท้ายด้วยลีลาทหารใหญ่
ปรากฏไม่มีใครกล้าว่าอะไร เรื่องจึงเงียบไป
วันที่ 24 กันยายน 2527 โฆษกรัฐบาล-ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี มามาดใหม่ไม่พูดถึงเรื่องเก่า
แต่พูดว่ารัฐบาลจะต้องออกพระราชกำหนดกวาดล้างแชร์แน่นอน สำหรับชม้อย ทิพย์โส
นั้น ดร.ไตรรงค์ เชื่อว่าไม่ได้ทำธุรกิจน้ำมันหรือค้าอาวุธส่งไปขายเลบานอนอย่างที่วิจารณ์กัน
น่าจะเป็นธุรกิจเงินต่อเงินเสียมากกว่า “เพราะนางชม้อยนี่แหละที่รัฐบาลต้องออกกฎหมายเพื่อป้องกันความเดือดร้อนของประชาชน”
ดร.ไตรรงค์ ยืนยัน
ล่วงเข้าเดือนตุลาคม 2527 หนังสือพิมพ์หลายฉบับประจำวันที่ 5 รายงานข่าวการให้สัมภาษณ์ของทนายชมพู อรรถจินดา โดยทนายชื่อดังคนนี้บอกว่า ธุรกิจของชม้อยเป็นธุรกิจปล่อยเงินกู้กินดอกเบี้ยร้อยละ
6.5 ต่อเดือน เท่ากับดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับเจ้าของเงิน ตัวนางชม้อยนั้นก็ได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยของเงินฝากที่ฝากธนาคาร
ฟังแล้วก็แปลกดี ไม่ทราบว่าทำได้อย่างไร
ทนายชมพูแสดงความเห็นว่า ปัญหาหนักที่ชม้อย ทิพย์โส กำลังเผชิญอยู่นั้นก็คือเรื่องการถูกเรียกเก็บภาษีและเรื่องพระราชกำหนดที่กำลังจะออกมา
ซึ่งถ้าออกมาเมื่อไรแชร์ชม้อยก็คงจะเจ๊งแน่นอนเมื่อนั้น
วันที่ 8 ตุลาคม 2527 ชม้อย ทิพย์โส ยื่นอุทธรณ์วันสุดท้ายไม่ยอมเสียภาษีตามที่สรรพากรเรียกเก็บ
คณะกรรมการอุทธรณ์ต้องพิจารณาใหม่ใช้เวลาอีก 30 วัน แต่สรรพากรยืนยันไม่ยอมแพ้เพราะมีหลักฐานมัดแน่น
ข้างฝ่ายชม้อย ทิพย์โส ก็อ้างว่า ตนไม่มีทรัพย์สินอะไร บ้านที่อยู่ปัจจุบันก็เป็นบ้านของคนอื่น
ไม่ใช่ของตนด้วยซ้ำไป
จากนั้นอีก 1 เดือนเต็มๆ พระราชกำหนดกวาดล้างแชร์ก็ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2527 ชม้อยให้สัมภาษณ์กับ บางกอกโพสต์ ยืนยันว่ากิจการยังดำเนินต่อไปตามปกติ
แม้พระราชกำหนดจะออกมาแล้ว ชม้อยบอกว่าตนไม่ใช่คนโดดเดี่ยวและดีใจมากที่แม้แต่พลเอกอาทิตย์
กำลังเอก ก็ยังมีใจเป็นธรรมในเรื่องนี้
อีก 2 เดือนต่อมา มีข่าวว่าแชร์ชม้อยถูกลูกแชร์รุมถอนเงินจนงวดแล้ว ซ้ำร้ายเรื่องภาษีก็ตามจี้มาติดๆ
ส่วนด้านกองปราบฯ ของพลตำรวจเอกบุญชู วังกานนท์ ก็มีการเปิดอบรมกฎหมายใหม่ ตลอดจนระเบียบวิธีปฏิบัติเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายไว้ให้พร้อม
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2528 ไทยรัฐออกข่าวว่าชม้อยหมดตัวแล้ว คงมีเงินเหลือในบัญชีเพียงล้านกว่าบาทเท่านั้น
วันที่ 11 ห่างกันเพียง 3 วันที่หน้าบ้านชม้อย ทิพย์โส ก็มีโปสเตอร์เขียนข้อความสนับสนุนให้กำลังใจพร้อมกับกระเช้าดอกไม้เต็มบ้านไปหมด
เชื่อกันว่าเป็นแผนรณรงค์เรียกศรัทธาบรรดาลูกแชร์ทั้งหลาย
วันที่ 29 มีนาคม 2528 มีข่าวว่าชม้อยพยายามดิ้นสุดฤทธิ์โดยอ้างชื่อพลเอกอาทิตย์เป็นเกราะ
และคิดว่าเดือนเมษายนไปแล้วสถานการณ์จะดีขึ้น เพราะอาจจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือยุบสภาเกิดขึ้น
วันที่ 4 เมษายน ชม้อยหายตัวไปอย่างเงียบๆ บ้างก็ว่าหนีไปอยู่ต่างประเทศ
บ้างก็ว่าหลบไปอยู่บ้านผู้ใหญ่บางคน และมีข่าวว่าชม้อยโอนเงิน 200 ล้านบาทไปต่างประเทศ ส่วนบ้านก็โอนให้สามี
ลูกแชร์พยายามมาหาที่บ้านก็พบว่าบ้านปิดเงียบ
วันที่ 12 เมษายน ทนายชมพูออกตัวว่าตนไม่ได้เป็นทนายของชม้อยอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่ชม้อยไม่ยอมจ่ายเงินให้ลูกแชร์
วันที่ 18 เมษายน ผู้บัญชาการทหารอากาศประกาศให้ชม้อยปรากฏตัวออกมา เพราะรัฐบาลก็ไม่ได้สั่งจับ
ครั้นแล้วในวันที่ 3 พฤาภาคม 2528 พระราชกำหนดกวาดล้างแชร์ของรัฐบาลก็ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ
ด้วยคะแนนเสียง 180 ต่อ 72 เสียง
วันที่ 8 พฤษภาคม 2528 ลูกแชร์ชม้อยจำนวนหนึ่ง รวมตัวตั้งเป็นศูนย์ที่ห้องอาหารออมแอมหน้าหมู่บ้านชินเขต
มีนายปาน หาญสงคราม ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์ ติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องแชร์ชม้อยมารายงานสมาชิกพร้อมกับหาทางเรียกเงินคืน
วันที่ 10 พฤษภาคม 2528 พลเอกอาทิตย์พูดขอให้ชม้อยออกมาปรากฏตัว อย่าดำดินไปเงียบๆ
ถ้าจ่ายเงินคืนได้ไม่ครบก็ให้จ่ายบ้าง เรื่องจะได้เรียบร้อยไปเสียที
วันที่ 11 พฤษภาคม 2528 วุฒิสมาชิกยกมือผ่านพระราชกำหนดแชร์โดยไม่ต้องมีอภิปราย
จนกระทั่งวันที่ 8 มิถุนายน 2528 ชม้อย ทิพย์โส จึงปรากฏตัวอย่างเกรียงไกรภายใต้การให้ความอารักขาของกองทัพอากาศร่วมกับกองกำลังรักษาพระนคร
มีการจัดชุมนุมลูกแชร์ขึ้นภายในยิมเนเซียมของกองทัพอากาศเพื่อให้ชม้อยตกลงหาทางแก้ปัญหากับบรรดาลูกแชร์
ซึ่งชม้อยก็ประกาศหยุดกิจการแชร์และจะจ่ายเงินคืนทุกคน ทางด้านกองปราบก็ให้สัมภาษณ์ว่าการจะจับหรือยังไม่จับชม้อยนั้นจะต้องมีการ
“ตีความ” ก่อน
การปรากฏตัวของชม้อยนี้ ลูกแชร์ดีใจกันมาก เพราะก็คิดว่าเงินคงจะได้คืนแน่แล้ว
แต่เผอิญไม่ใช่อย่างที่หวังไว้
วันที่ 23 มิถุนายน 2528 บรรดาลูกแชร์เริ่มแน่ใจว่า ทุกรายจะได้คืนเงินกลับมาไม่ถึง
10% ของเงินต้นที่ลงไป ลูกแชร์หลายกลุ่มเริ่มรวนเรและมีการขู่จะจับชม้อย
ทิพย์โส แขวนคอฐานที่หลอกลวงมาโดยตลอด
วันที่ 27 มิถุนายน อวสานของชม้อย ทิพย์โส มาถึง ด้วยการถูกพลตำรวจเอกบุญชู
วังกานนท์ จับกุมตัวด้วยข้อหาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ก็พูดสนับสนุนการกระทำของกองปราบฯ
ว่าสมควรแล้ว