พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เผยกำไรปีนี้เพิ่มกว่า 25% คาดปี 47 อสังหาฯยังสดใส ดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง
ผู้ประกอบการรายใหม่ เข้าธุรกิจนี้มากขึ้น บริษัทพร้อมปรับลดค่าใช้จ่ายลงอีก 4%
ปีหน้า ขณะที่ "คุณหญิงอ้อ" ชนะประมูลที่ดินติดถนนเทียมร่วมมิตรกว่า
33 ไร่ ราคา 770 กว่าล้านบาท จากกองทุนฟื้นฟูฯ
นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าตามที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
เปิดประมูลที่ดินบริเวณใกล้ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (โซน 2) เยื้องสถานทูตเกาหลี
ติดถนนเทียมร่วมมิตร 4 โฉนด เนื้อที่ตามโฉนดรวม 33 ไร่ 78.9 ตร.ว. โดยให้ยื่นซองประกวดราคาวันที่
16 ธ.ค.
ปรากฏว่า มีผู้ยื่นประมูลทั้งสิ้น 3 ราย โดยมีนายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง
ในฐานะรองประธานกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นประธาน หลังจากคณะกรรมการจัดการ กองทุนฟื้นฟูฯ
พิจารณาแล้ว อนุมัติให้กองทุนฟื้นฟูฯ จำหน่ายที่ดิน
ผู้ที่ชนะการประมูล ที่ให้ราคาสูงสุด คือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ราคา 772 ล้านบาท
สูงกว่ารายที่ 2 คือบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเสนอราคา 750
ล้านบาท จำนวนรายที่ให้ราคาต่ำสุด คือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
เสนอราคา 730 ล้านบาท
นางสว่างจิตต์กล่าวว่า การประมูลครั้งนี้ เป็นการประมูลครั้งที่ 2 จากการประมูลครั้งแรก
ที่ใช้ประมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ได้รับความสนใจ ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ ตัดสินใจรังวัดโฉนดที่ดินใหม่
จาก 13 โฉนด เหลือ 4 โฉนด เนื้อที่ลดลง เหลือ ประมาณ 34 ไร่ จากเดิม 35 ไร่ โดยราคาที่โอนมาจาก
บง.เอราวัณทรัสต์ ที่ถูกสั่งปิดช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 โดยรับโอนมาในปี 2538
อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่เป็นการตีราคาในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่เกิดวิกฤต
สำหรับการขายออกไปในราคา 772 ล้านบาทในครั้งนี้ ถือว่าเป็นราคาที่น่าพอใจ เพราะราคาประเมินอยู่ที่
52,000 บาทต่อ ตร.ว. แต่การขายครั้งนี้ เฉลี่ยแล้วได้ราคา 85,000 บาท ต่อ ตร.ว.
โดยกองทุนฟื้นฟูฯ ต้องการที่จะได้เงินสดหมุนเวียน มากกว่าถือครองที่ดินไว้
นางสว่างจิตต์กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทำสัญญา ซื้อขายไปแล้ว และได้จ่าย 50% ของราคาประมูล
งวดแรกแล้ว เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา จะจ่ายที่เหลืออีก 50% ในวันที่ 26 ธ.ค.เพื่อที่จะทำการโอนในวันที่
31 ธ.ค.นี้
โดยการซื้อครั้งนี้ เป็นการซื้อในนามของคุณหญิงพจมานโดยส่วนตัว ไม่ได้ซื้อในนามบริษัท
โดยผู้ซื้อเป็นผู้รับภาระค่าโอนทั้งหมด
สำหรับที่ดินผืนต่อไปที่จะเปิดประมูลนั้น จะเป็นที่ดินใกล้เคียงกับที่ดินแปลงแรก
โดยจะอยู่ หลังศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยจำนวน 85 ไร่ ซึ่งเป็นของบริษัทเอราวัณทรัสต์เช่นเดียวกัน
โดยขณะนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้แสดงความสนใจที่จะขอซื้อ เพื่อตั้งเป็นหอศิลปแห่งชาติ
แต่อย่างไรก็ตาม กองทุนฟื้นฟูฯยังไม่ได้ตัดสินใจ ในเรื่องราคา เนื่องจากหากเป็นราชการซื้อขายกับราชการ
อาจจะต้องมีการลดหย่อนราคาบ้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การซื้อที่ดินของคุณหญิงพจมานในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้เป็นผืนเดียวกันกับที่ดินที่ซื้อมาก่อนหน้า นอกจากนั้น การเร่งให้มีการโอนที่ดินภายใน วันที่ 31 ธ.ค.เพราะต้องการให้อยู่ในมาตรการความช่วยเหลือลดหย่อนค่าโอนอสังหาฯของรัฐบาลที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.
แนวโน้มอสังหาฯ ปีหน้าสดใส
นายชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด
(มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา "ทิศทางเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มหุ้นในปี 2547" วานนี้ (18
ธ.ค.) ว่าคาด เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องปีหน้าที่ประมาณ 8%
ส่วนแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า คาดเติบโตไม่ต่ำกว่า
30% ทั้งระบบ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการ รายใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น หลังจากจำนวนผู้ประกอบการลดลง
จากประมาณ 3,000 ราย ช่วงอสังหาฯบูมก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ เหลือเพียงประมาณ 1,000 รายในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
ส่วนหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ประกอบการ มีผลจากความต้องการที่อยู่อาศัย
ที่คาดว่าจะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่อัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่งและธนาคารพาณิชย์ยังคงเน้นให้สินเชื่อ
เพื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะตลาดบ้านระดับกลาง ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะหันมาลงทุนบ้านเดี่ยวจัดสรรราคามากกว่า
10 ล้านบาทกันมากขึ้น เนื่องจากมีกำไรสุทธิมากกว่าบ้านระดับราคาน้อย กว่าถึง 40%
"ส่วนราคาบ้าน ประมาณการว่า จะปรับราคาสูงขึ้นอีก 5% ผลมาจากราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น
รวมกับมาตรการของรัฐที่กำลังจะหมดไป เป็นผลให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุน เพิ่มขึ้นอีก
3% สำหรับในส่วนของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคเอง คงไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด บริษัทยังมีแผนที่จะปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่าย
จากปีนี้ 11% เหลือ 7% ในปีหน้า เพราะบริษัทยังคงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอีกอย่างน้อย
2-3 ปี อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และราคาที่ดินยังคงไม่สูงนัก"
นายชายนิดกล่าว
บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการทั้งหมด 21 โครงการในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า คิดเป็นมูลค่าโครงการทั้งสิ้น
38,354 ล้านบาท เป็นโครงการจากที่ดินเก่า มูลค่า 19,459 ล้านบาท คิดเป็น 51% และโครงการจากที่ดินใหม่
มูลค่า 18,895 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49% การก่อสร้าง จะเน้นบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่
ระดับราคาเฉลี่ยหลังละ 5 ล้านบาท
นายชายนิดกล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงาน ในปีนี้ บริษัทสามารถปิดยอดขายที่ 4,000
ล้านบาท มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 25% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนแผนการดำเนินงานในปีหน้า
บริษัทวางแผนเปิด 7 โครงการ กระจายทำเล ทั้งในเมืองและนอกเมือง จำนวนประมาณ 1,800
หน่วย มูลค่าทั้งหมด 9,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ครึ่งปีแรกมีจำนวน 800 หน่วย และครึ่งปีหลัง
1,000 หน่วย คาดว่าจะสามารถปิดยอดขายปี 2547 ที่ 7,000 ล้านบาท โดยจะมีกำไรสุทธิ
1.7 พันล้านบาท สิ่งสำคัญ จึงอยู่ที่การจัดการระบบแรงงาน ที่จะมีเพิ่มขึ้น ถึง
10,000 คน
บริษัทมีนโยบายแตกพาร์หุ้นบริษัท จาก 10 บาทเหลือ 5 บาท และเตรียมล้างขาดทุนสะสมเดิม
ที่มีอยู่ทั้งหมด 3 พันกว่าล้านบาทก่อน เพื่อจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต
สำหรับผลการดำเนินงานในปีหน้า โดยเรื่องนี้ จะมีการหารือกับบอร์ดบริษัทราวต้นปีหน้า