Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน15 ธันวาคม 2546
"เคทีซี"ท้าชนบัตรชินคอร์ปดันกำไร100%             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

   
search resources

ชินคอร์ปอเรชั่น, บมจ.
บัตรกรุงไทย, บมจ.
แคปปิตอล โอเค, บจก.
Credit Card




"KTC" เผยไม่กลัวชินคอร์ปเปิดตัว แคปปิตอลโอเค แม้แต่ ซิตี้แบงก์ที่เป็นอันดับ 1 ของโลกยังโค่นมาแล้ว ส่วนปีหน้าคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่ม ขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 600 ล้าน เตรียมเข็นสินเชื่อมอเตอร์ไซค์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มรายได้ ขณะที่บัตรเครดิตก็จะเปิดตัวมินิการ์ดออกมาเรื่อยๆ ตามกลุ่มของลูกค้า ชี้แนวโน้มการแข่งขันสินเชื่ออุปโภคบริโภคปีหน้าจะมีความรุนแรงมาก กว่าปีนี้

นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้แสดงความเห็นต่อกรณีที่ ทางบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์ ในการ จัดตั้งบริษัท แคปปิตอล โอเค เพื่อดำเนิน ธุรกิจการให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลว่า คงไม่มีผลกระทบต่อเคทีซี มากนัก อีกทั้งยังเป็นการสร้างสีสันในการ แข่งขันของธุรกิจบัตรเครดิตและทางเลือก ให้กับผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นด้วยเพราะที่ผ่าน มาเคทีซีเป็นผู้รุกตลาดแต่เพียงผู้เดียว

ส่วนเป้าฐานลูกค้าที่ทางแคปปิตอล โอเค ตั้งไว้ที่ประมาณ 300,000-400,000 รายภายในสิ้นปี 47 นั้น เขาเชื่อว่าจะไม่มี ผลใดๆ กับทางเคทีซี แม้ว่าฐานลูกค้าของ กลุ่มชินคอร์ปที่เป็นลูกค้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีมากกว่า 12 ล้านราย เพราะการทำตลาดบัตรเครดิตที่ผ่านมาธนาคารอื่น เช่น ธนาคารกรุงเทพที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก เคทีซียังสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากกว่า

"สำหรับแคปิตอลโอเค ของกลุ่มชินคอร์ป ที่จะออกมานั้นไม่น่ากลัว เพราะขนาดซิตี้แบงก์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ของโลก และจีอีที่เป็น อันดับ 6 ของโลก เคทีซียังโค่นมาแล้ว ทั้งๆ ที่เขามีประสบการณ์และมีทุนมหาศาล เราทำงานแบบตรงไปตรงมาไม่ตลบหลังใครและไม่แกล้งใคร เป็นการดีที่เขาเข้ามาเล่นในตลาดเดียวกันจะได้มีคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ เคทีซีไม่เคยทำอะไรแบบล่างๆ ทำแบบคลาสสิกเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรง" นายนิวัตต์กล่าว

นายนิวัตต์ กล่าวว่า ในปี 2547 เคทีซีจะสามารถมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 100% หรือเพิ่มเป็น 600 ล้านบาท จากในปัจจุบัน เนื่องจากเคทีซีมีการ ขยายธุรกิจของบริษัท โดยที่ในปีหน้านี้จะร่วมกับสถานีบริการน้ำมันบางจาก และปตท. เพื่อออก บัตรเครดิตสำหรับเติมน้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถ ออกได้ภายในไตรมาสที่ 1 และในไตรมาสที่ 2 จะให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ (Leasing) และสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า (Asset Finance) โดยที่ลักษณะของสินเชื่อดังกล่าวจะเป็นการให้สินเชื่อคล้ายกับสินเชื่อบุคคล หรือ Personal Loan คือ ไม่ต้องมีบุคคลค้ำประกัน โดยจะใช้ฐานลูกค้าบัตรเครดิตที่มีอยู่แล้วเพื่อขยายฐานการทำธุรกิจ

ทั้งนี้ การให้บริการด้านบัตรเครดิตจะยังคง ร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นการขยายฐานบัตรเครดิต ซึ่งมั่นใจได้ว่าภายในสิ้นปีนี้เคทีซีจะสามารถเพิ่มฐานบัตรเครดิตได้ครบ 800,000 บัตรตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ สำหรับใน ปีหน้าคาดว่าจะสามารถเพิ่มฐานบัตรเครดิตอีก 250,000-300,000 บัตร ซึ่งจะทำให้ฐานบัตรเครดิต ของเคทีซีมีจำนวนครบ 1,000,000 บัตร สิ่งที่ทำให้ เคทีซีมั่นใจได้ว่าจะทำให้ฐานบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นดังกล่าวนั้นเพราะเคทีซีเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ได้มากขึ้น โดยเฉพาะการออกบัตรเคทีซี มินิการ์ด ที่จะเจาะไปแต่ละความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

"เราต้องทำการตลาดแบบมองไปข้างหน้า และมองที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เพราะหากมองแต่สิ่งที่ผ่านมาจะไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ และจะต้องมองแต่ตนเองว่าจะรุกธุรกิจได้อย่างไร เคทีซีไม่เคยเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน และไม่ทำอะไรระดับล่างแต่จะทำในลักษณะคลาสสิก เช่น บัตรมินิการ์ดที่ออกมาไม่เพียงแต่จะเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเท่เท่านั้น แต่เป็นการออกผลิตภัณฑ์ ใหม่ที่สามารถเจาะถึงความต้องการของลูกค้าเป็นกลุ่มเฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น" นายนิวัตต์กล่าว

สำหรับการแข่งขันด้านสินเชื่อและบัตรเครดิตในปีหน้านั้น คาดว่าจะมีความรุนแรงเพิ่ม มากขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา เพราะด้านผู้ประกอบการหลายแห่งได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่ม ขึ้นอีก เช่น อิออน เตรียมที่จะออกบัตรร่วมกับวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล และเซเทเล็มเตรียมที่จะออกผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อส่วนบุคคล นอกจาก นี้แล้วยังมีบริษัทใหม่เข้ามาในตลาดสินเชื่อคือ บริษัท แคปปิตอลโอเค จำกัด ซึ่งจะให้บริการด้าน บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อสำหรับเช่าซื้อสินค้า

นายนิวัตต์กล่าวต่อว่า ขณะนี้เคทีซีอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบเครดิตสกอร์ริ่ง(Credit Scoring) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งได้จ้างบริษัทต่างชาติเป็นผู้วางระบบ โดยใช้งบลง ทุนประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งระบบใหม่นี้จะทำให้ ข้อมูลที่ประมวลผลได้นั้นมีความถูกต้อง และมีประสิทธิภาพที่สามารถเชื่อถือได้ถึง 99% ใน ส่วนของการทำไอดี ชิป เพื่อการให้บริการด้านจ่ายชำระค่าสินค้าและบริการ (Payment) นั้น ขณะนี้ได้มอบหมายให้บริษัท ฟิลลิปส์ ศึกษา ถึงระบบ แต่อย่างไรก็ตาม เคทีซีเองไม่ได้เน้นในเรื่องดังกล่าวมากนัก เพราะจะต้องทำ เครื่องรับตัวไอดี ชิปซึ่งมีต้นทุนที่สูงมาก และสำหรับในปี 2546 จนถึงปี 2547 เคทีซีได้ใช้ งบลงทุนในส่วนของ database ไปประมาณ 180 ล้านบาท

นอกจากนี้ นายนิวัตต์ยังกล่าวถึงแผนโรดโชว์ในต่างประเทศว่า ในปีหน้าจะเดินทางไปโรดโชว์ในต่างประเทศจำนวน 4 ครั้ง คือเดือนมกราคมจะไปที่ปารีส ลอนดอน และบอสตัน เดือนกุมภาพันธ์ที่โตเกียว เมษายนจะกลับไปที่บอสตัน และพฤษภาคมจะกลับไปที่ปารีส และลอนดอนอีกครั้ง สำหรับตลาดที่เป็นที่น่าสนใจมากที่สุดคือตลาดญี่ปุ่น เนื่องจากนักลงทุน ญี่ปุ่นให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะนักลงทุนประเภทสถาบันขนาดใหญ่ที่สนใจ มากกว่า 85% และนักลงทุนเหล่านี้จะเป็นประเภทลงทุนในระยะยาว 3 ปีขึ้นไป

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ได้จับมือกับธนาคารดีบีเอสจากสิงคโปร์ ตั้งบริษัทแคปปิตอล โอเค เพื่อให้บริการสินเชื่อบริโภค โดยจะเริ่มดำเนินการเดือนมีนาคม 2547 ตั้งเป้าว่าจะมีฐานลูกค้าภายในสิ้นปี 2547 ประมาณ 300,000-400,000 ราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 6 และเป็น 1ใน 5 ของบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อบริโภค

ทั้งนี้เป้าหมายของบริษัทคือการแข่งขันกับบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) และจะเพิ่มส่วนตลาดให้เป็น 1 ใน3ในระยะอันใกล้ ทั้งนี้ คาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 2-3 ปี เพราะเชื่อว่าสินเชื่อบริโภคในประเทศไทยยังสามารถขยายตัวได้อีกเพราะปัจจุบันมีสัดส่วนแค่ร้อยละ 11 ของสินเชื่อรวมซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศ คาดว่ามูลค่าตลาดรวมจะเพิ่มจาก 30,000 ล้านบาทในปัจจุบันเป็น 50,000 ล้านบาทในปีหน้า

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us