ปตท. (PTT) รุกทำธุรกิจ ปิโตรเคมีครบวงจร ประเดิมเตรียมรุกธุรกิจ ปิโตรเคมีเพิ่ม
2 โครงการ ใช้เงินทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16,000 ล้าน บาท) จีบผู้ผลิต
PP ในประเทศร่วมทุน หวังขึ้นแท่นผู้ผลิต PP อันดับหนึ่งของประเทศ คาดสรุปผลได้เร็วๆ
นี้ หากไม่สำเร็จจะลงทุนเอง
นายปิติ ยิ้มประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น
บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยังอยู่ในช่วงวัฏจักร
ขาขึ้นต่ออีก 2-3 ปีข้างหน้า ปตท.จึงมีแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 2-3 โครงการ
โดยจะลงทุนผลิตโพลีโพรพิลีน (Poly-Propylene) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาและหาผู้ร่วมทุน
หากการเจรจาการร่วมทุนประสบความสำเร็จ จะกลายเป็นผู้ผลิต PP รายใหญ่สุดของประเทศ
ด้วยขนาดกำลังผลิต 6.5 แสนตันต่อปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในการทำการตลาด
ประโยชน์ที่ผู้ร่วมทุนจะได้รับ คือความมีเสถียรภาพด้านวัตถุดิบ เนื่องจาก ปตท.มีโรงแยกก๊าซ
และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่โรงผลิตโอเลฟินส์ ของทั้งบริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน)
(TOC) และบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ (NPC)
"ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติก PP ในประเทศ
2 ราย ที่มีกำลังการผลิตอยู่แล้ว 3-3.5 แสนตันต่อปี เพื่อร่วมทุนจัดตั้งบริษัทใหม่
ผลิตเม็ดพลาสติกเพิ่มอีก 3 แสนตัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้"
หากการเจรจาร่วมทุนไม่สำเร็จ ปตท. จะลงทุนเอง ด้วยกำลังผลิต 3 แสนตัน ใช้เงินลงทุน
210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8,400 ล้านบาท) คาดว่าจะเริ่มผลิตต้นปี 2550 ปัจจุบัน
มีผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PP 3 รายในไทย คือบริษัท เอ็ช เอ็ม ซี โปลีเมอร์ส จำกัด บริษัท
ซิเมนต์ไทย เคมีคอล จำกัด ในเครือปูนใหญ่ และบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด
(มหาชน) (TPI)
นายปิติกล่าวต่อไปว่า ปตท.ยังมีแผนลงทุน ผลิตฟีนอล 2 แสนตันต่อปี มูลค่า 200
ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8,000 ล้านบาท) ซึ่งจะร่วมทุนกับบริษัทในเครือ คือบริษัท
อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ATC) และบริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด(มหาชน)
(NPC )
ทำปิโตรเคมีครบวงจร
โดย ปตท.จะถือหุ้นใหญ่ คาดว่าจะเสร็จ ปี 2550 ซึ่งฟีนอลใช้เป็นวัตถุดิบผลิตโพลีคาร์บอเนต
เนื่องจากความต้องการใช้ปิโตรเคมีในประเทศสูงขึ้น ถือเป็นอุตสาหกรรมเพิ่ม รายได้ให้
ปตท. ซึ่งขณะนี้ บริษัทพร้อมทำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจร โดยจะมีโรงแยกก๊าซ เพื่อตั้งโรงโอเลฟินส์
ซึ่งจะอาศัยก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ท่อก๊าซทั้ง 3 เส้น คิดเป็นปริมาณ 1 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ใช้เป็นฟีดสต็อก ทำปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่ 3
"เราประเมินว่า จะเริ่มทำปิโตรเคมีคอม-เพล็กซ์ที่ 3 ได้ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า
ซึ่งขณะนี้โรงแยกก๊าซแห่งใหม่ ต้องสามารถดำเนินการได้ก่อน"
นอกจากนี้ ปตท.ยังเตรียมจะรื้อฟื้นแผนควบรวมกิจการระหว่าง NPC กับ TOC เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองการตลาด
รวมทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายบริหารงาน ซึ่ง ปตท.เห็นว่า การควบรวมกิจการ เป็นสิ่งที่ดีของทั้ง
2 บริษัท
ขณะนี้ อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ถือหุ้นราย อื่นๆ ของทั้ง 2 บริษัท เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
คาดว่าหากควบรวมเสร็จ จะลดค่าใช้จ่ายได้ปีละ 500 ล้านบาท ส่วนเวลาที่เหมาะสมจะควบรวม
ขณะที่ TOC เพิ่งระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ก่อนหน้านี้ ปตท.เคยมีแนวคิดจะรวม TOC-NPC
เข้าด้วยกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากขนาด TOC เล็กกว่า NPC และภาระหนี้สินสูงกว่า
แต่ปัจจุบัน ทั้ง 2 บริษัทขนาดธุรกิจ ใกล้เคียงกัน โดย NPC มีกำลังผลิตเอทิลีน
3 แสนตันต่อปี อยู่ระหว่างเพิ่มกำลังผลิต โพลีเอทิลีน และ TOC กำลังผลิตเอทิลีนประมาณ
6 แสนตันต่อปี รวมทั้งแผนมีจะลงทุน ตั้งโรงงานเอทิลีนไกคอล (EO/EG)