การเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักงานทรัพย์สิน
ส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อกลางเดือนมีนาคมปีนี้ถือเป็นการประกาศความพร้อมในการกลับมาทำธุรกิจเชิงรุกอีกครั้ง
หลังจากต้องเก็บตัวเงียบมากว่า 5 ปี
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินฯ ยอมรับว่าความพร้อมที่ประกาศออกมาครั้งนี้
เป็นผลต่อเนื่องมาจากความสำเร็จในการแก้ปัญหาภายในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
ที่เริ่มพลิกฟื้นฐานะการเงินให้กลับมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"ปีนี้เราได้รับเงินปันผลจากปูนซิเมนต์ไทยประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์
หลังจากสามารถล้างขาดทุนสะสมหมดในกลางปี คาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินปันผลให้กับเราได้ในปี
2547"
วิกฤติการเงินเมื่อปี 2540 นอกจากจะส่งผลกระทบต่อฐานะการลงทุนของสำนักงานทรัพย์สินฯ
อย่างหนัก มูลค่าเงินลงทุนที่ลดลงอย่างมาก ยังไม่ส่งผลร้ายเท่ากับรายได้ที่เคยได้รับต่อปีจากเงินปันผล
ของหลายๆ บริษัทที่หดหายไป
สิ่งที่เกิดขึ้นกับสำนักงานทรัพย์สินฯ ถือเป็นภาพสะท้อนความเป็นไปโดยรวมของภาคเศรษฐกิจ
ทั้งประเทศ เพราะก่อนเกิดวิกฤติสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้มีการลงทุนในหลายกิจการ
ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของแต่ละภาคธุรกิจ
กว่า 5 ปี ที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ปรับโครงสร้างการลงทุนใหม่ เหลือกิจการที่เป็น
Core Business ที่จะเข้าไปลงทุนโดยตรงเพียงไม่กี่แห่ง จนหลายคนมองว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ
กำลังลดบทบาทตัวเองลงจากที่เคยเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ปัจจุบัน สำนักงานทรัพย์สินฯ เหลือการถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เพียง 4 บริษัท คือในปูนซิเมนต์ไทย 30% ธนาคารไทยพาณิชย์ 8.30% บริษัทเทเวศประกันภัย
25% และอีก 28.90% ในบริษัทคริสเตียนี และนีลเส็น
จากข้อมูลราคาหุ้น ซึ่งปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ทั้ง 4 บริษัทมี Market Capitalization รวม 285,241.74 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน
7.76% ของ Market Capitalization รวมของทั้งตลาด
เทเวศประกันภัย เป็นบริษัทเดียวที่ยังคงมีการจ่ายเงินปันผลคืนให้อย่างต่อเนื่อง
เฉลี่ยปีละ 24 ล้านบาท แต่เงินก้อนดังกล่าวถือว่าเล็กน้อย หากเทียบกับที่สำนักงานทรัพย์สินฯ
เคยได้รับจากปูนซิเมนต์ไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
ฐานะการเงินของปูนซิเมนต์ไทย เริ่มกลับมามีกำไรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี
2543 และเริ่มจ่ายเงินปันผลได้ตั้งแต่ปี 2545 โดยจ่ายหุ้นละ 10 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินปันผลที่สำนักงานทรัพย์สินฯ
ได้รับ 360 ล้านบาท
ส่วนปีนี้ปูนซิเมนต์ไทยมีการจ่ายเงินปันผล 2 ครั้ง ครั้งแรกหุ้นละ 30 บาท
เป็นเงินปันผลในส่วน ของสำนักงานทรัพย์สิน 1,080 บาท และครั้งที่ 2 เป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายหลังแตกพาร์จาก
10 บาท เหลือ 1 บาท โดยจ่ายหุ้นละ 2.50 บาท สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้รับไป
900 ล้านบาท
ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ ผลประกอบการ 9 เดือนนี้มีกำไร 9,203.62 ล้านบาท และคงเป็นดังที่
ดร.จิรายุคาดการณ์ไว้ว่าจะเริ่มจ่ายเงินปันผลได้ในปีหน้า
ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย และชุมพล ณ ลำเลียง คือบุคคลสำคัญในกระบวนการพลิกฟื้นฐานะให้กับทั้ง
2 กิจการ ซึ่งเป็น Core Business ที่ใหญ่ที่สุดของสำนักงานทรัพย์สินฯ
การฟื้นตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งของสำนักงานทรัพย์สินฯ ครั้งนี้ จึงเปรียบได้กับสัญลักษณ์ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศไทย
แนวทางที่ ดร.วิชิต และชุมพลนำมาใช้แก้ปัญหากิจการที่อยู่ในความรับผิดชอบ
จึงล้วนตื่นเต้น เร้าใจ และน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง