คำพูดของเขาฮือฮาเสมอ และชวนให้มีการตีความอย่างมากมาย โดยเฉพาะ ปุจฉา-วิสัชนา
เกี่ยวพันไปถึงภาพกว้างกว่าธุรกิจธนาคารไปถึงการเมือง
ปุจฉาที่เร้าใจจึงมีว่า บทบาทของผู้นำธนาคารที่เข้มแข็งสุดของไทย มีความสัมพันธ์กับการเมืองอย่างไร
ซึ่งความโน้มเอียงในการอรรถาธิบายด้วยทฤษฎีสายสัมพันธ์แบบเดิมกำลังทำงานอยู่นั้น
ผมคิดว่าทฤษฎีนั้น ใช้ไม่ได้กับบัณฑูร ล่ำซำ
สิ่งที่ผมจะถ่ายทอดจากนี้ไป มาจากบทสนทนาในบ่ายวันหนึ่งของปลายเดือนกันยายน
กับ "ผู้จัดการ" ธนาคารไทยที่ฝรั่งยกย่องว่า การบริหารดีที่สุด
โดยบทสนทนาในเรื่องหลาก หลาย มิใช่การสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ และเรื่องที่ผมเล่าจากนี้ก็เป็นการ
"จับประเด็น" และ "ตีความ" ของผมเอง
เขามองว่าประเทศไทยขณะนี้ มิได้มีปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงเพียงด้านเดียว
หากมันเป็นวิกฤติการณ์ของสังคมเลยทีเดียว ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามอยู่ในสังคมนี้ก็ต้องเชื่อมโยงปัญหาเหล่านี้เข้ากับการทำงาน
และชีวิตของพวกเขาทั้งสิ้น
ทั้งหมดจะต้องแก้ด้วย "การบริหาร" ที่มีความสามารถ มิใช่แก้ด้วย
"การเมือง" แนวคิดนี้สัมพันธ์กับประสบการณ์ของเขา ความสำเร็จในยุคของเขาที่เข้ามารับช่วงธุรกิจของตระกูลล่ำซำนั้น
สถานการณ์แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างมาก รุ่นก่อนต้องอาศัยความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับผู้มีอำนาจ
แต่ยุคนี้ต้องการการบริหารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
เขามักจะให้ความสำคัญในเรื่องวินัยของคนในสังคมอย่างมาก
อีกมิติหนึ่ง ธุรกิจธนาคารกลายเป็นธุรกิจที่อยู่ส่วนหน้าของโลกาภิวัตน์
ความสัมพันธ์ในท้องถิ่นมีพลังน้อยลงๆ เป็นลำดับ
อย่างไรก็ตาม "ภาพทางความคิด" ของผู้บริหารมิเพียง มองระดับโลกาภิวัตน์เท่านั้น
จะต้องมองระดับท้องถิ่น และระดับประเทศด้วย
บัณฑูร ล่ำซำ มองปัญหาสังคมไทยออกเป็น 3 ระดับ ที่จะต้องจัดการแตกต่างกันไป
หนึ่ง - ระบบเศรษฐกิจที่อยู่ในโลกาภิวัตน์ ซึ่งจะเข้าใจ การต่อสู้ที่ดุเดือด
ธนาคารกสิกรไทยก็อยู่ในโซนนี้ ซึ่งจะต้องปรับตัว ต่อสู้ให้ได้ตามมาตรฐานของโลกาภิวัตน์
หากใครทำไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้
สอง - ระบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามทฤษฎีของในหลวง ซึ่งเขาเชื่อว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจส่วนหนึ่งที่ต้องส่งเสริมให้เข้มแข็ง
ซึ่งจะมีส่วนทำให้สังคมไทยดำรงอยู่อย่างอิสระและสมดุลกับโลกาภิวัตน์ได้ดีพอสมควร
สาม - กลุ่มคนที่อยู่ในภาวะช่วยตัวเองไม่ได้ ที่นอกเหนือจากระบบทั้งสองข้างต้น
รัฐบาลจะต้องช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อทำให้คนกลุ่มนี้ มีความพร้อมในการเข้าสู่ระบบที่สองต่อไป
เขาทำอะไรได้ไม่มาก นอกจากแสดงความเห็นที่ไม่ผูกพันกับพรรคการเมืองใดๆ
เพราะเวลาที่เหลือเขาจะต้องต่อสู้ในระบบเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ต่อไป อย่างเข้มข้นมากขึ้นเป็นลำดับ
ภารกิจในการต่อสู้ของธนาคารไทยที่ต้องปรับตัวเข้ากับมาตรฐานโลกาภิวัตน์
เป็นสิ่งที่คนอย่างเขาไม่ยอมรามือง่ายๆ
ขณะที่เขาออกมาพูดเรื่องสังคมระดับกว้างมากขึ้นนั้น เขากับทีมงานในกสิกรไทยก็ทำงานอย่างขะมักเขม้นในการปรับโครงสร้างทางความคิด
โครงการสร้างการทำงานและโดยเฉพาะการจัดการกับเทคโนโลยีธนาคาร ซึ่งคงปรากฏภาพให้เห็นไม่ช้านี้
บัณฑูร ล่ำซำ ชอบดื่มกาแฟหรือน้ำขิงในตอนบ่าย ด้วยถ้วยกาแฟที่มีข้อความ
"QUIT NEVER NEVER" ซึ่งบ่งบอกถึงแรงบันดาลใจเข้มแข็งของเขา