การก่อตั้งภาคีความร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกันของบรรดาประเทศต่าง
ๆ เป็นวิถีปฏิบัติซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่ครั้งที่มีการสร้างชาติกำหนดพรมแดน
หากว่าจะไม่นับย้อนหลังไปถึงสมัยที่เกิดมีชุมชนขึ้นมา
กลุ่มประเทศภาคีฯ ดังกล่าวนี้ มีจุดมุ่งหมายต่าง ๆ กัน แล้วแต่ว่าจะเน้นความสำคัญในด้านลัทธิ
การทหาร การเมือง หรือว่าเศรษฐกิจ บรรดาประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปหรือยูโรเพียน
ยูเนียน ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า อียู (European Union หรือ Eu) ที่ร่วมเป็นภาคีในสนธิสัญญามาสทริชต์
(Masstricht Treaty) เมื่อเดือนภุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1992 ก็เช่นเดียวกัน ลักษณะการร่วมมือของบรรดาประเทศในยุโรปทั้ง
15 ชาติเหล่านี้ นอกเหนือจากอิทธิพลทางการเมืองของกลุ่มอียูที่ย่อมจะต้องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติแล้วกลุ่ม
ประเทศนี้ เน้นความสำคัญในเรื่องความร่วมมือในด้านทุน การเงิน การคลังโดยวางเป้าหมายใหญ่ไว้ที่การสร้างตลาดทุนขึ้นแข่งกับสหรัฐฯ
หรืออาจกล่าวได้ว่าต้องการระดมทุนเข้าสู่ภูมิภาคนี้
ลักษณะการจัดองค์กร เพื่อเป้าหมายดังกล่าว อยู่ในรูปของการรวมตัวทางด้านเศรษฐกิจ
และเงินตรา (Economic and monetary union หรือ Emu) ขบวนการนี้ เริ่มต้นด้วยการร่วมมืออย่างใกล้ชิดและการโยกย้ายทุนได้อย่างเสรีภายในกลุ่มอียู
ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1990 ตามมาด้วยการลงนานในสนธิสัญญามาสทริชต์ในปี
1992 การก่อตั้งสถาบันเงินตรายุโรป ในปี 1994 และการประชุมสภายุโรป (European
Council) ของผู้นำประเทศในกลุ่มอียู
ปี 1996 นี้ ระบบธนาคารกลางแห่งยุโรป (European Central Bank board) จะได้รับการแต่งตั้งได้เป็นที่เรียบร้อยในปี
1998 เตรียมพร้อมสำหรับหน่วยเงินยุโรปที่เป็นหนึ่งเดียว ที่จะถือกำเนิดขึ้นมา
ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินสกุลต่าง ๆ ของประเทศสมาชิกอียูที่แน่นอนอย่างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว
ในวันที่ 1 มกราคม 1999
ถึงต้นปี 2002 ธนบัตร และเหรียญของเงินสกุลยุโรปเดียวที่จะใช้กันพร้อมหน้าในกลุ่มประเทศที่มีความร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจ
และเงินตราตามสนธิสัญญามาสทริชต์ ก็จะได้รับการผลิตออกมาใช้
ลำดับพัฒนาการข้างต้นนี้ คือกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสนธิสัญญามาสทริชต์
ขบวนการอีเอ็มยูยังมีแง่มุมปลีกย่อยอีกมากมาย และอันที่จริงแล้ว ขั้นตอนต่าง
ๆ ที่กล่าวมา รวมถึงการลงนามในสนธิสัญญามาสทริชต์ ก็เป็นหลักบอกระยะทางหลักหนึ่งภายในกระบวนการสร้างความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในด้านเศรษฐกิจและการเงิน
ของกลุ่มประเทศในเครือสหภาพยุโรป ซึ่งมีโอกาสที่จะขยายขอบเขตกิจกรรมและเพิ่มจำนวนสมาชิกต่อไปอีกได้
ทวีปยุโรปประกอบด้วยชาติเอกราชจำนวนมากที่สุดในบรรดาทวีปทั้งหลายทั้งที่มีปริมาณพื้นที่จำกัด
มีความหลากหลายและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แต่ละชาติต่างเพียรรักษาและยืนหยัดในความเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่งยวด
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บรรดาประเทศต่าง ๆ ในยุโรปได้มีการแข่งขันชิงไหวชิงพริบ
สลับกับการร่วมมือกัน และทำสงครามแย่งผลประโยชน์ในดินแดนอื่นเรื่อยมา ทวีปยุโรปนี่เอง
ที่เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นที่ซึ่งได้จุดชนวนของสงครามซึ่งได้ลุกลามไปทั่วโลกถึงสองครั้ง
การก่อตั้งองค์การอันจะมีสถานะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในด้านเศรษฐกิจ-การคลัง
จึงถูกมองอย่างตั้งข้อสงสัย ในขณะที่ลักษณะอิดออดลังเลของบางประเทศ ในการเข้าร่วมในกลุ่มสหชาติแห่งยุโรป
ก็เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเช่นกัน
การเมืองในหลาย ๆ ประเทศในยุโรปกลุ่มอียู รวมทั้งในบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้
ยังคงวุ่นวายยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เกิดขึ้นจนแทบจะตามข่าวกันไม่ทัน
ทว่านักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่ในธนาคารกลางของชาติต่าง ๆ ในยุโรป
ต่างก็กล่าวว่า ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างใกล้ชิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จะยังประโยชน์ให้แก่แต่ละประเทศสมาชิกที่ร่วมเป็นภาคีอยู่ในกลุ่มและแก่ทั้งกลุ่มโดยรวม
ผลประโยชน์นี้ กล่าวกันว่าถึงขนาดที่จะมีการโยกย้ายตลาดทุนใหญ่ของโลกจากวอลล์สตรีทมาอยู่กลางยุโรปเลยทีเดียว
บนเส้นทางที่จะไปสู่เงินสกุลเดียวในปี 2002 คือเงื่อนไขที่แต่ละประเทศภายในสหภาพยุโรปจะต้องปฏิบัติตามให้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
ขณะเดียวกันก็มีหน่วยงานต่าง ๆ ของสหภาพยุโรป ที่ดำเนินการเพื่อเตรียมการไปสู่จุดหมายปลายทาง
เงื่อนไขอย่างหนึ่งก็คือ การให้ทุกประเทศที่เข้าร่วมในอีเอ็มยู (Emu) ดำเนินการเพื่อให้ดัชนีทางด้านเศรษฐกิจของชาติตน
โน้มเข้ามาบรรจบกัน ดัชนีทางเศรษฐกิจที่เป็นบรรทัดฐาน คือ
1. ภาวะเงินเฟ้อไม่ควรจะเกินสูงกว่า 1.5 เปอร์เซ็นต์ ของภาวะเงินเฟ้อของประเทศสมาชิกที่มีผลการปฏิบัติงานดีที่สุด
3 ประเทศ
2. อัตราดอกเบี้ยระยะยาวขั้นต่ำสุดจะต้องไม่สูงเกิน 2 เปอร์เซ็นต์ของอัตราของประเทศสมาชิกที่มีผลการปฏิบัติงานดีที่สุด
3 ประเทศ
3. การขาดดุลการเงินจะต้องไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าผลผลิตรวมภายในประเทศ
(Gross domestic product หรือ GDP)
4. หนี้สินรวมของรัฐบาล ต้องไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
5. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราจะต้องคำนึงส่วนต่างในอัตราขึ้นลงตามปกติของอีอาร์เอ็มอย่างน้อย
2 ปี โดยไม่มีการลดค่าเงินแต่ลำพังฝ่ายเดียว
ประเทศเยอรมนีซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคงที่สุดในกลุ่ม ก็ยังคงประสบปัญหาคนว่างงาน
มากเป็นประวัติการณ์ และยังคงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จาก 10.1 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมกราคม
ขึ้นมาเป็น 10.3 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เงื่อนไขต่าง ๆ เหล่านี้ มีหลายประเทศที่ถูกปรามาสจากนักวาณิชนธนกิจที่มีชื่อเสียงว่า
ไม่อาจจะทำได้สำเร็จ แม้กระทั่งฝรั่งเศสซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ประเทศหนึ่งในอียู
ก็อยู่ในข่ายนี้ ด้วยปัญหาแรงงานซึ่งมีการนัดหยุดงานกันอยู่เนือง ๆ
หนทางหนึ่งในการสร้างแนวบรรจบ (convergence) ตามหลักเกณฑ์เรื่องคุณสมบัติของประเทศ
สมาชิกอียูในด้านการเงิน การคลัง ก็คือการระดมทุนด้วยการจำหน่ายหุ้นรัฐวิสาหกิจ
ให้แก่เอกชน (privatization) อังกฤษได้เริ่มดำเนินการในเรื่องนี้ก่อน ตั้งแต่สมัยของนายกรัฐมนตรีมาการ์เรต
แทตเชอร์ โดยที่รายล่าสุดที่เป็นข่าวเกรียวกราวมาก เป็นการระดมทุนด้วย การจำหน่ายหุ้นของวิสาหกิจการสื่อสารโทรคมนาคม
ดอยช์ เทเลคอม
การก่อตั้งสถาบันเงินตรายุโรป (European Monetary Institute หรือ EMI)
ขึ้นในแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี มีขึ้นตามกำหนดตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญามาสทริชต์
สถาบันนี้ มีหน้าที่จำเพาะที่จะต้องดำเนินงานอันจะนำไปสู่การตั้งธนาคารกลางของยุโรปอียู
สถาบันซึ่งมีนายอเล็กซองดร์ ลอมฟาลูซี (Alexandre Lamfalussy) เป็นประธาน
ได้ตัวผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระดับชาติมาจากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป
มาร่วมงานด้วย รวมแล้วราว 200 คน โดยมีแนวโน้มที่จะขยายงานและเพิ่มคนขึ้นไปอีกเป็นลำดับ
ตามระดับความก้าวหน้าของขบวนการรวมเศรษฐกิจและเงินตราอีเอ็มยู
งานในด้านอื่น ๆ ก็กำลังดำเนินไปตามครรลองที่กะการณ์ไว้เช่นกัน อย่างไรก็ดีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาอันอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาถามไถ่กันอยู่หลายประการ บางกรณี ก็ยากจะบอกได้ว่า คำตอบจะเป็นอย่างไรแน่
เพราะตัวปัญหาที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คิดกันในขณะนี้
อาทิ ความเป็นธรรมของอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดตายตัวของเงินสกุลหลัก ๆ ของประเทศในกลุ่มอียูกับเงินสกุลใหม่สำหรับอียูที่จะเกิดขึ้น
(เงินสกุลนี้อาจมีชื่อเรียกว่า อีคิว ECU หรือ ยูโร Euro) เงินสำรองของธนาคารกลางยุโรป
และบทลงโทษต่าง ๆ ที่จะทำกับประเทศกลุ่มสมาชิกที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด เป็นต้น
ปัญหาดังกล่าวนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่คลุกคลีใกล้ชิดกับขบวนการรวมเศรษฐกิจการเงินขอบยุโรป
มองว่า เป็นเรื่องทฤษฎีซึ่งอาจจะฟังดูสับสนยุ่งยาก และบางกรณีก็เหมือนกับจะไม่มีหนทางแก้ไข
ทว่าเมื่อถึงเวลาปฎิบัติจริง โอกาสความเป็นไปได้จะปรากฎขึ้นมาให้เห็นเอง
ยุโรปเคยเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ-การเงินของโลกมาก่อน แบบอย่างการลงทุน
การระดมทุน และตลาดทุนแต่เดิมเริ่มถือกำเนิดขึ้นมาที่นี่ ภาวะสงครามหลายต่อหลายครั้ง
ทำให้บทบาทของยุโรปในด้านเศรษฐกิจการเงิน ด้อยลงไป แต่มาบัดนี้ เมื่อยุโรปตะวันออกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากเง้า
แปรสภาพจากการเป็นหอกข้างแคร่ กลายมาเป็นตลาดใหม่ (emerging market) ที่นักลงทุนยินดีลงมาทุ่ม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศโปแลนด์ ฮังการี และแม้กระทั่งสาธารณรัฐเช็ก เมื่อแหล่งร้อนของโลก
โยกย้ายไปอยู่ในภูมิภาคอื่น ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ยุโรปจะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาช่วงชิงความเป็นหนึ่งในตลาดทุนกลับคืนมาได้
แม้ว่าจะต้องฝ่าพันอุปสรรคอีกหลายด้านก็ตามที