คาดว่าต้นเดือนเมษายนนี้ คณะกรรมการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย
กระทรวงการคลัง คงต้องเปิดรับสมัครผู้ประสงค์จะเปิดกิจการธนาคารพาณิชย์ใหม่อีกรอบหลังจากที่ทางคณะกรรมการฯ
ยังไม่สามารถพิจารณาให้ใบอนุญาตต่อผู้ยื่นขอจัดตั้งธนาคารได้ครบ 5 แห่ง ตามที่กำหนดไว้
ผลความคืบหน้าจากกระทรวงการคลัง คาดว่าจะมีกลุ่มที่ผ่านการพิจารณาเพียง
3 กลุ่ม ซึ่งถือเป็นครึ่งเดียวของกลุ่มที่ยื่นขอเปิดธนาคารใหม่ทั้งหมด 6
กลุ่ม
การเสนอให้เปิดธนาคารแห่งใหม่ได้อีก 5 แห่ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาระบบการเงินไทยเพื่อก้าวไปสู่ศูนย์กลางการเงินต่อไป
ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง โดยมีวิจิตร สุพินิจผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
เป็นประธานในการพิจารณาคัดเลือก เริ่มดำเนินการคัดเลือกมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
2539
ผู้เสนอจัดตั้งธนาคารใหม่ 3 กลุ่มที่ค่อนข้างมาแรง คือ กลุ่มบริษัทเงินทุนเอฟซีไอ
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟ และกลุ่มองค์การทหารผ่านศึก
เอฟซีไอ และ จีเอฟ เป็นกลุ่มที่หลายฝ่ายยอมรับมาตั้งแต่ต้นว่า เป็นกลุ่มที่มีองค์ประกอบการเป็นธนาคารที่ชัดเจนอาทิ
เรื่องแหล่งเงินทุน กลุ่มผู้ร่วมตั้งธุรกิจทั้งระบบที่ประกอบอยู่และฐานลูกค้า
ทำให้หากได้รับการพิจารณาให้จัดตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ ก็จะมีความมั่นคงและสามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่เดิมได้
โดยธนาคารจีเอฟจะมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น
การเตรียมการของธนาคารจีเอฟที่จะตั้งสำนักงานใหญ่ที่ จ. ขอนแก่น หากเมื่อได้รับเลือกให้เปิดกิจการธนาคารแห่งใหม่ตามที่บริษัทเตรียมการมานาน
ทุกอย่างก็พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่ตั้งสำนักงานใหญ่ที่จะขยายจากสาขาเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟสาขาขอนแก่น
ที่มีพื้นที่เหลืออยู่มาก
นอกจากนี้จีเอฟ ยังมีธุรกิจที่จะเป็นตัวสนับสนุนและทำให้ขยายตัวไปอีกมากในพื้นที่ดังกล่าว
ในฐานะผู้บุกเบิกในพื้นที่อีสานตอนบนมานาน อาทิ เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิพัฒนาลุ่มแม่น้ำสงคราม
การมีธุรกิจโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ ใน จ. หนองคายที่อยู่ใกล้เคียง ก็เป็นหนึ่งในโครงการลงทุนโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำสงครามของกลุ่มจีเอฟ
ที่จะขยายการลงทุนจากธุรกิจการเงินสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์อันมีมูลค่าการลงทุนกว่า
1 หมื่นล้านบาท เศรษฐกิจของภูมิภาคตอนบนของภาคอีสานนอกจากขอนแก่น ยังมีอีก
4 จังหวัดในลุ่มแม่น้ำสงคราม คือ หนองคาย นครพนม อุดรธานี และสกลนคร ซึ่งล้วนเป็นแหล่งยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่จะเอื้อต่อการดำเนินงานของธนาคารจีเอฟที่สร้างพื้นฐานรอไว้นี้
และจะใช้เป็นจุดก้าวไปสู่เศรษฐกิจระหว่างประเทศในภูมิภาคใกล้เคียงด้วย
สำหรับกลุ่มจีเอฟ มีธุรกิจเดิม ประกอบด้วยบริษัทเงินทุนจีซีเอ็น บริษัทสยามเจเนอรัล
แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัทมอร์แกน เกรนเฟลไทย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมออมสิน
บริษัทจีเอส แคปปิตอล คอร์ปปอเรชั่น และ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม
ขณะเดียวกันในกลุ่มเอฟซีไอ จะมีที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ที่ จ. ระยอง เช่นเดียวกับกลุ่มองค์การทหารผ่านศึก
มีจุดเด่นที่จะใช้ในธุรกิจธนาคารพาณิชย์เมื่อได้รับอนุมัติ ก็คือ การที่มีพันธมิตรเป็นบริษัทประกันภัยถึงสองแห่งคือ
บ. วิริยะประกันภัยและบริษัทนารายณ์สากลประกันภัย ซึ่งจะช่วยได้ดีในเรื่องของเครือข่ายสาขาของประกันภัยเกือบ
100 สาขานั้น จะเป็นรากฐานของธุรกิจการเงินในต่างจังหวัด ที่สามารถให้บริการระหว่างกันในกลุ่มและจะขยายตัวได้เร็วจากฐานของบริษัททั้งสองในต่างจังหวัดที่มีอยู่
ในทางกลับกัน บริษัทประกันภัยทั้งสองก็หวังว่าการจับมือเป็นพันธมิตรกับธุรกิจการเงิน
จะช่วยส่งเสริมธุรกิจประกันภัยของตัวเองได้ดี
ส่วนด้านกลุ่มองค์การทหารผ่านศึก ซึ่งยื่นข้อเสนอมาเป็นกรณีพิเศษในฐานะธนาคารเพื่อการคลังและสิ่งแวดล้อมนั้น
เมื่อได้รับการพิจารณาอนุมัติให้จัดตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ ก็จะต้องมีการตกลงกับคณะกรรมการอีกครั้ง
เพื่อให้การบริหารงานของธนาคารเป็นไปตามนโยบายการคลังเพื่อสังคม และสิ่งแวดล้อมตามที่ตกลงจริง
ๆ
กลุ่มธนาคารทหารผ่านศึก มีกลุ่มศรีมิตรเป็นแกนนำในการบริหารหากได้รับอนุมัติเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่
และมี พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ร่วมเป็นแกนนำจัดตั้งเกิดความคิดจากเหตุผลที่ว่า
องค์การทหารผ่านศึกควรจะมีรายได้จากทางอื่น ๆ บ้างนอกเหนือจากรายได้เดิม
ๆ ขององค์การที่มีแต่คงที่หรือบางกิจการก็ลดน้อยลงไป เช่น กิจการป่าไม้ เหมืองแร่
โรงพิมพ์ สำนักงานจำหน่ายสลากกินแบ่งและบุหรี่ สถานีบ่มใบยาสูบ เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้บางอย่างไม่สามารถทำรายได้ต่อไปได้
เนื่องจากนโยบายของรัฐและระบบการแข่งขันเสรีกดดัน
ความคิดที่จะหารายได้ให้องค์การ เพื่อชดเชยกับงบประมาณรัฐที่ไม่ได้ตามเป้า
จึงเริ่มด้วยการร่วมยื่นขอตั้งธนาคาร นอกเหนือจากที่องค์การฯ ได้เข้าไปร่วมทุนในธุรกิจโรงพิมพ์
และธุรกิจเกษตรอื่น ๆ มาบ้างแล้ว และคิดว่าหากได้รับจัดตั้งธนาคาร สิ่งต่าง
ๆ ที่องค์การฯ ได้ศึกษาไว้ เช่น ธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาลซึ่งดูต้นแบบมาจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึกของไต้หวันที่ทำรายได้กับองค์การของทหารอย่างมาก
ก็จะทำให้องค์การฯ มีช่องทางทำธุรกิจขยายออกไปและมีรายได้เข้ามาชดเชยรายได้ที่ขาดหายไป
นอกเหนือจากเป้าหมายหลักของธนาคารผ่านศึกที่จะบริการสำหรับทหารที่เลิกรบแล้ว
ทั้งนี้เงื่อนไขพิเศษที่องค์เสนอไปก็คือ การให้กระทรวงการคลังผ่อนผันให้ฝ่ายทหารถือหุ้นใหญ่
25% จากหลักเกณฑ์กำหนดไว้ให้ผู้ถือหุ้นของแต่ละธนาคารถือได้แห่งละ 5% เพื่อไม่ให้ธนาคารตกอยู่ในมือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยสิทธิ์ขาด
แต่ถึงจะมาแรง แต่ก็มีหลายเสียงมองว่า ธนาคารแห่งนี้อาจจะไม่ได้เกิดเพราะผิดเงื่อนไขหลายประการ
ถ้าจะยอมกันคงมีคนรุมค้านมากมาย
เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ "ไม่ผ่าน" แบบรักษาหน้ากันไว้บ้างเท่านั้น
สำหรับอีก 3 กลุ่ม ที่คาดว่าจะไม่ผ่านการพิจารณาในครั้งนี้ก็คือ กลุ่มซิทก้า
กลุ่มมาบุญครองฯ และกลุ่มอิตาเลียนไทยฯ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป
กลุ่มซิทก้า สร้างความฮือฮาอย่างมากในการส่งเอกสารเพื่อยื่นขอจัดตั้งธนาคาร
โดยมาก่อนเส้นตายปิดรับสมัครไม่ถึงครึ่งชั่วโมง และเป็นกลุ่มที่ในสายตาคนทั่วไปคิดว่ามีความพร้อมเพราะเตรียมทั้งผู้จะมาเป็นกรรมการผู้จัดการไว้อย่างวีระ
มานะคงตรีชีพ รวมถึงอ้างจุดแข็งของกลุ่มพันธมิตรที่มีความหลากหลายและเป็นระดับผู้นำการตลาด
ทั้งองค์กรธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่เข้าตากรรมการ ซึ่งผู้บริหารของกลุ่มเองก็ทราบข่าวและยอมรับในเรื่องที่ผ่านสายตากรรมการไปแล้ว
กลุ่มมาบุญครอง ภายใต้การนำของคุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ก็คงได้อุบไต๋ต่อไปจากที่อุบมาตั้งแต่วันที่ยื่นสมัครตั้งธนาคารใหม่
จะด้วยเพราะสาเหตุอะไรก็คงไม่ทำให้กลุ่มมาบุญครองกระทบกระเทือนอะไรมากนัก
เพราะคุณหญิงชนัตถ์เองก็เคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าเรื่องการทำธนาคารเป็นเรื่องบังเอิญที่กลุ่มพันธมิตรเสนอมาให้มาบุญครองเป็นแกนนำ
ดังนี้แล้ว หากกลุ่มมาบุญครองจะบังเอิญไม่ได้ก็คงไม่เป็นไร
ส่วนกลุ่มอิตาเลียนไทยฯ ที่ร่วมด้วยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกสิน ซึ่งเข้ามาเป็นกลุ่มสุดท้าย
คงต้องรอผลที่แน่นอนจากการแถลงของการธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ผ่านการพิจารณา
เพราะที่แน่ ๆ แม้แต่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกจับตาว่าน่าจะสนใจในเรื่องจัดตั้งธนาคารใหม่ก็ยังเฉย
ๆ และไม่รับรู้ต่อการที่บริษัท คิวเอช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในเครือบริษัทคิวเฮ้าส์
ที่โตมากับอกของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ไปเข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้นขอจัดตั้งธนาคารใหม่กับกลุ่มอิตาเลียนไทยฯ
โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่ควอลิตี้เฮ้าส์ตัดสินใจได้เองไม่เกี่ยวกับแลนด์แอนด์เฮ้าส์
เพราะส่วนของแลนด์แอนด์เฮ้าส์เองถือหุ้นที่ควอลิตี้เฮ้าส์เพียง 7% และก็มีหุ้นธนาคารเอเชียของตนอยู่แล้ว
จึงไม่คิดจะร่วมขอตั้งธนาคารใหม่กับใคร