Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2539
พิลคิงตันขอใหญ่คับบานกระจกโลก             
 





หากเอ่ยชื่อ “อาซาฮี” หลายคนคงรู้ว่ามันคือบริษัทผลิตกระจกของญี่ปุ่นแต่น้อยคนในบ้านเราจะคุ้นเคยกับชื่อของบริษัทผลิตกระจกของอังกฤษอย่างพิลคิงตัน (มหาชน) ในเครือของพิลคิงตัน กรุ๊ป ที่ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นคู่แข่งตัวกลั่นของยักษ์ใหญ่อาซาฮี, แซงต์-โกเบนของฝรั่งเศสและน้องเล็กอย่างพีพีจีของเมืองลุงแซม

แม้จะตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในนอร์ธเทิร์น อิงแลนด์ห่างจากกรุงลอนดอนไป 200 ไมล์แต่ก็อาจกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่าพิลคิงตัน เป็นหนึ่งในบริษัทระดับอินเตอร์ของอังกฤษ โรเจอร์ เลเวอร์ตัน วัย 56 ปีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของพิลคิงตัน กรุ๊ป กลุ่มกิจการยักษ์ใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่เท่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมในตะวันตก เผยมุมมองระดับโลกว่า “เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆเล็งขยายตัวสู่ระดับโลกและมองหาซัปพลายเออร์ในทั่วโลก เราจะมีฐานะโดดเด่นเป็นพิเศษในการรองรับความต้องการของบริษัทเหล่านี้”

ปีที่ผ่านมา พิลคิงตันมียอดขายกระจกจากโรงงาน 100 แห่งใน 20 ประเทศทั่วโลกเป็นเงิน 4,300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งมาจากยอดขายกระจกรถยนต์ ทั้งนี้โรงงานบางแห่งเป็นบริษัทที่พิลคิงตันลงทุนเองทั้ง 100% แต่บางแห่งนั้นเป็นการร่วมทุนกับผู้ผลิตกระจกของประเทศต่างๆ

ละตินอเมริกาเป็นภูมิภาคเป้าหมายที่บริษัทรถยนต์ระดับโลกเตรียมทุ่มทุนก้อนใหญ่ 17,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้าและในขณะนี้พิลคิงตันก็ได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตกระจกดิบ 5 แห่งในบราซิล อาร์เจนติน่าและชิลีดักรอไว้แล้ว อีกทั้งยังเพิ่มกำลังการผลิตกระจกรถยนต์ในโรงงานในบราซิลและอาร์เจนติน่า

พิลคิงตันยังกระจายฐานการดำเนินงานไปอยู่ตามภูมิภาคส่วนอื่นของโลกโดยเบียดเข้าไปครองส่วนแบ่งตลาดกระจกรถยนต์ของโปแลนด์ได้ถึง 70% แต่ที่แน่ๆบริษัทกระจกรายนี้รุกเข้าไปในจีน

แบบเงียบๆมานาน 11 ปีเต็มแต่ก็ยังมีหุ้นส่วนในการลงทุนเพียงแค่ 8% เท่านั้นอย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมา พิลคิงตันได้เข้าไปถือหุ้นในโรงงานผลิตกระจกแห่งหนึ่งในเมืองชิงต่าว แถมขณะนี้ยังเร่งมือก่อสร้างโรงงานในเมืองฉางชุน,อู๋ฮั่นและกุ้ยหลิน ซึ่งนอกจากจะต้องเป้าผลิตกระจกรองรับรถยนต์ 600,000 คันแล้วยังจะผลิตป้อนโรงงานผลิตรถในเมืองจีนของ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปคือ โฟล์กสวาเก้นและซีตรอง

นอกจากนี้พิลคิงตันยังบุกตลาดอิตาลีด้วยการทุ่มเงิน 255 ล้านดอลลาร์ซื้อโซไซเอด้า อิตาเลียน่า วีโตร้ สปาหลังจากที่รัฐบาลทำการแปรรูปไปแล้ว 2 ปี

ในสหรัฐฯพิงคิงตันเป็นซัปพลายเออร์เกรดดีของเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถของมะกันภายใต้ชื่อบริษัทว่ลิบบี่ย์-โอเว็นส์-ฟอร์ด ซึ่งรายได้ของบริษัทในเครือรายนี้ทำเงินให้แก่พิลคิงตันเกือบ 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด

ในมุมมองของเลเวอร์ตันนั้นเชื่อว่าสัญญาผลิตกระจกป้อนให้แก่บริษัทรถยนต์กำลังเปลี่ยนจากการป้อนแยกชิ้นต่างราคาเป็นการป้อนล็อตใหญ่ๆในราคามาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งจีเอ็มเป็นรายแรกที่จะใช้เกณฑ์ดังกล่าวและฟอร์ด ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองสัญชาติเดียวกันจะเจริญรอยตามในไม่ช้า ทั้งนี้ สัญญาครั้งประวัติศาสตร์ของจีเอ็มกับพิลคิงตันจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นซัปพลายกระจกครั้งใหญ่ในบราซิล อาร์เจนติน่า ออสเตรเลียและยุโรปไปพร้อมๆกัน

อย่างไรก็ดี กระจกที่บริษัทรถยนต์ต้องการจริงๆกลับเป็นกระจกพิเศษบางอย่างอาทิ กระจกสี, กระจกที่มีรูปทรงช่วยลดแรงต้านของลม. กระจกลดเสียงเคลือบสารไล่น้ำฝน, กระจกฝังสายอากาศและกระจกช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในตัวรถ ซึ่งแม้จะเป็นกระจกที่ผลิตได้ยาก แต่ก็มีมาร์จินสูงกว่ากระจกธรรมดาที่ผลิตกันอยู่ในขณะนี้

ต่อกรณีพิลคิงตันไม่ค่อยห่วงมากนักเพราะตัวเองเป็นบริษัทแถวหน้าในวงการกระจกพิเศษและเป็นรายแรกที่สามารถผลิตกระจกป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตและกระจกมืดป้องกันคนมองทะลุเข้าไปภายในตัวรถ

ธุรกิจกระจกเคยลดความสำคัญลงไปมาเมื่อครั้งที่มีการแตกธุรกิจของกลุ่มในสมัยเซอร์ แอนโธนี่ พิลคิงตันผู้จัดการในตระกูลพิลคิงตันคนสุดท้าย แต่กลับมาเน้นหนักอีกครั้งในสมัยของเลเวอร์ตัน เพื่อหวังผลักดันธุรกิจบุกเบิกของกลุ่มขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการกระจกโลก

ก่อนหน้าที่เลเวอร์ตันจะเข้าบริหารกิจการ ผลตอบแทนต่อหุ้นของพิลคิงตันยังอยู่ในระดับต่ำกว่าหุ้นราคาพาร์ 8% แต่แล้วในปีที่ผ่านมา เลเวอร์ตันสามารถพลิกสถานการณ์ของพิลคิงตันกลับมาอีกครั้ง โดยทำกำไรก่อนหักภาษีในช่วง 6 เดือนแรกได้ถึง 161 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทว่าหุ้น 1,000 ล้านหุ้นของพิลคิงตันที่อยู่ในตลาดก็ยังเทรดกันที่ระดับราคาหุ้นละ 3 ดอลลาร์อยู่ดีเพราะมีการคาดการณ์โดยนักวิเคราะห์ว่าหุ้นของบริษัทจะมีผลตอบแทนต่อหุ้นเพียง 23 เซนต์ในปี 1996 และจะขยับขึ้นเป็น 30 เซนต์ในปีหน้า เรื่องของเรื่องไม่มีอะไรมากเพียงแต่ว่าเลเวอร์ตันเล่นเดินหน้าลดต้นทุนไปพร้อมๆกับการทุ่มทุนขยายกิจการก็เท่านั้นเอง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us