Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2539
ซีอีโอสมองเพชรของไอว่า             
 





“ถ้าคุณสามารถกีอปปี้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งออกมาขายในราคาต่ำกว่า รับรองว่าตลาดเป็นของคุณแน่ ยิ่งถ้าคุณพัฒนาคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม ผมรับประกันพันเปอร์เซ็นต์ว่าคุณนอนมาหายห่วงไปเลย” ฮาจิเมะ ยูโนกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ไอว่าแห่งญี่ปุ่นกล่าว

กลยุทธ์นี้ทำให้ไอว่าแปรสภาพจากบริษัทคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใกล้ล้มละลายอยู่รอมร่อมาเป็นต้นตำนานความสำเร็จในญี่ปุ่นด้วยรายได้ 3,000 ล้านดอลลาร์โดยประมาณ

เคล็ดลับเบื้องหลังคือการย้ายฐานผลิตไปยังสิงคโปร์และมาเลเซีย ที่ซึ่งค่าจ้างแรงงานถูกกว่าในญี่ปุ่นถึง 65% และ 10% ตามลำดับ ขณะที่คู่แข่งยังไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ไอว่าเป็นเจ้าแรกในญี่ปุ่นที่ผลิตเครื่องบันทึกเทปขึ้นมาในปี 1964 แต่หลังจากนั้นกลับหลวมตัวไปเข้าพวกกับโซนี่ (โซนี่ถือหุ้นของไอว่าที่เข้าระดมทุนในตลาด 50.7%) ผลิตวิดีโอระบบเบต้าแม็กซ์ที่ตลาดหันหลังให้ซ้ำด้วยวิกฤติการณ์เยนแข็งค่าในช่วงกลางทศวรรษที่แล้ว ฉุดให้ไอว่าเกือบสิ้นชื่อเพราะขาดทุนถึง 58 ล้านดอลลาร์ในปี 1986

ปีนั้นเองที่ยูโนกิจากโซนี่มาคุมไอว่า นับจากนั้นเขาสั่งปิดโรงงาน 1 ใน 3 แห่งในญี่ปุ่นแยกอีกแห่งออกเป็นหน่วยงานอิสระในเครือ พร้อมย้ายฐานการผลิตทางตอนเหนือของประเทศไปไว้ยังโรงงานในสิงคโปร์และเปิดโรงงานใหม่ในมาเลเซีย

ผลคือปี 1987 โรงงานในเมืองลอดช่องผลิตซาวด์อะเบาท์ที่ก๊อปปี้มาจากเครื่องวอล์กแมนของโซนี่แต่ดีไซน์แข็งแกร่งทนทานและใช้งานสะดวกกว่าออกสู่ตลาดถึง 850,000 เครื่องแถมตั้งราคาขายปลีกในบ้านแค่เครื่องละ 67 ดอลลาร์ถูกกว่าของคู่แข่งรายอื่นๆถึง 25-65%

และสำหรับปีนี้ ไอว่าตั้งเป้ากวาดยอดขายซาวด์อะเบาท์ทั่วโลกไว้ 11 ล้านเครื่อง บริษัทยังประสบความสำเร็จในการทำตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นซีดีแบบพกพาซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงกับซีดีวอล์กแมนของโซนี่และทีวีสีขนาดเล็ก

ปีการเงิน 1995/96 ที่จะสิ้นสุดเดือนหน้า ปริมาณการผลิตของไอว่าในต่างแดนจะพุ่งพรวดขึ้นจาก 48% ของผลผลิตทั้งหมดในปี 1991 เป็น 90% โดยขณะนี้ ไอว่าจ้างพนักงานในมาเลเซียมากกว่าในญี่ปุ่นเสียอีก

ย้อนกลับไปในปี 1991 ยูโนกิได้ผลักดันผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ที่ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของไอว่าคือ มินิคอมโพเนนท์ สเตอริโอ ซิสเต็มส์ที่รวมเอาแอมปลิฟลายเออร์, จูนเนอร์,เครื่องเล่น

ระบบ 2 หัวเทป, เครื่องเล่นซีดีและลำโพง 2 ตัว เข้าไว้ในแพ็กเกจชนาดเล็กตั้งราคาขายในญี่ปุ่นที่

เครื่องละ 418 ดอลลาร์ หรือครึ่งหนึ่งของราคาสเตอริโอ ชุดใหญ่ทั้งเซ็ตและวันนี้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของไอว่าก็ฮุบส่วนแบ่งตลาดโลกไว้ได้ถึง 30% และ 50% ในสหรัฐฯทั้งที่เปิดตัวได้ไม่นาน

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ส่งให้ไอว่าอยู่รอดปลอดภัยในเศรษฐกิจซบในญี่ปุ่น กล่าวคือในปีการเงินที่สิ้นสุด ณ เดือนมี.ค. 1995 ไอว่ามียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเพิ่มขึ้น 25% เป็น 2,900 ล้านดอลลาร์หนุนให้กำไรสุทธิทะยานขึ้น 32% เป็น 69 ล้านดอลลาร์

ปัญหาก็คือ ไอว่าจะคงความได้เปรียบนี้ไว้ได้หรือไม่เพราะคู่แข่งต่างยาตราทัพออกไปตั้งฐานผลิตในเอเชียอาคเนย์กันเป็นว่าเล่น ทั้งยังลดราคาผลิตภัณฑ์กันสะบั้นหั่นแหลกขณะที่ตลาดในประเทศพัฒนาแล้วก็เดินมาถึงจุดอิ่มตัว ทั้งนี้แม้ว่ายอดขายในช่วง 6 เดือนนับจากเม.ย.ไปจนถึง ก.ย.ปีที่แล้วของไอว่าจะเติบโตในระดับน่าพอใจคือ 15% แต่ก็ยังถือว่าต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนๆอยู่นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ยูโนกิก็ไม่ได้นั่งเฉยมองคู่แข่งย้ายฐานผลิตออกนอกประเทศ ในทางตรงข้ามเขากลับบุกเบิกหนทางใหม่สู่จีน ซึ่งชื่อของไอว่าเป็นที่คุ้นหูคุ้นตาดีอยู่แล้ว ที่สำคัญยูโนกิยังงัดกลเม็ดการตลาดที่เขาเรียนรู้สมัยเป็นเซลส์แมนของโซนี่ทางฝั่งอีสต์โคสต์ในสหรัฐฯเมื่อทศวรรษ 1970 มา

ใช้อีกครั้งในญี่ปุ่นเพื่อลดต้นทุนก้อนมหึมา นั่นก็คือไม้เด็ดเรื่องข่าวดีและข่าวร้ายที่เขาประกาศต่อผู้จัดจำหน่ายตอนที่คิดจะนำผลิตภัณฑ์ของโซนี่บุกวอชิงตัน ดี.ซี.ที่ว่า “ข่าวดีก็คือผมจะลดราคาให้เป็นพิเศษ ส่วนข่าวร้ายคือพวกคุณต้องเอารถมาขนกันเอง”   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us