Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 



new releases
Manager 360 aStore






 
Perfect Spy
ผู้เขียน: Larry Berman
ผู้จัดพิมพ์: Smithsonian Book
จำนวนหน้า: 328
ราคา: ฿901
buy this book

ฟาม ซวน อัน เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปลายปีก่อน หนึ่งปีหลังจากนั้น หนังสือประวัติอันน่าตื่นใจยิ่งกว่าเรื่องราวในนวนิยายสายลับของจอห์น เลอ คาเร่ และ เอียน เฟลมมิ่ง ก็ออกวางตลาด มิใช่ในฐานะหนังสืองานศพ แต่เป็นกรณีศึกษาบทบาทของนักหนังสือพิมพ์เวียดนามใต้ ผู้ซึ่งเก็บงำความลับเรื่องราวของเขาเอาไว้นานกว่า 35 ปีในฐานะสายลับผู้ส่งข่าวจาก "วงใน" ของรัฐบาลอเมริกันในเวียดนามใต้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในปฏิบัติการลุกฮือของเวียดกงในระหว่างเทศกาลตรุษญวน ค.ศ.1968 ที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของสงครามเวียดนามที่นำไปสู่การถอนทหารของอเมริกันอย่างบอบช้ำเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติที่ไม่เคยแพ้ใครมาก่อน

จากนักหนังสือพิมพ์เวียดนามใต้ที่ทำข่าวให้กับอเมริกันยาวนาน และหายตัวไปกับสงครามเวียดนามในยามที่อเมริกันแพ้สงคราม โผล่มาอีกทีใน 10 ปีให้หลัง ในฐานะวีรบุรุษสงคราม และตำแหน่งนายพลในกองทัพเวียดนาม ทำให้เพื่อนเก่าชาวอเมริกันของเขาจำนวนมากพากันตกตะลึงที่ตนเองกลายเป็น "แหล่งข่าว" ให้กับฟามและกลายเป็น "แนวร่วมมุมกลับ" ที่ไม่ได้ตั้งใจของเวียดกงมายาวนานหลายปีจนอเมริกันแพ้สงคราม

ฟามถูกเข้าใจผิดต่างๆ นานา และเขาถูกรัฐบาลเวียดนามหลังสงครามห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ทำให้เรื่องราวของเขาตกเป็นความลับดำมืด และเป็นแค่เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง

กระทั่งนักสร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดยังนำส่วนหนึ่งของพฤติกรรมเขาสอดใส่เข้าไปในภาพยนตร์เกี่ยวกับเวียดนามหลายครั้งอย่างผิดๆ

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นนักรัฐศาสตร์อเมริกันที่ต้องการพยายามขุดค้นเรื่องของของสายลับสองหน้าผู้นี้ออกมาในแง่มุมต่างๆ ตามแบบนักหนังสือพิมพ์ที่ดี โดยใช้ความอดทนอย่างยาวนานหลายปี เพื่อให้ได้ข้อมูลเท่าที่จะออกมาอย่างดีที่สุด แม้จะยอมรับว่า ท้ายที่สุด ความลับที่ตายไปกับฟาม ซวน อัน นั้น มีมากมายหลายเท่ากว่าที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้

โดยความร่วมมือของฟาม ซึ่งให้เหตุผลจากการให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า เขาต้องการส่งข่าวถึงเพื่อนๆ ให้รู้ว่าการกระทำของเขานั้น เป็นไปด้วยเหตุผลของความรักชาติ แม้ว่าโดยเนื้อแท้ เขาจะชมชอบวิถีชีวิตแบบอเมริกันมากเพียงใด

หนังสือเล่มนี้เปิดเผยให้เห็นชีวิตสองหน้าของเด็กหนุ่มเวียดนามที่รักชาติ ซึ่งเคยอยู่แถวหน้าของการต่อต้านฝรั่งเศส ต้องถูกคำสั่งลับให้ซุ่มซ่อนตัวเอง กลายเป็นผู้ชื่นชอบชีวิตอเมริกัน และทำงานใกล้ชิดกับคนสำคัญของซีไอเอในไซ่ง่อน จนได้รับความไว้วางใจ ถูกคัดเลือกให้ไปเรียนต่อวิชาการหนังสือพิมพ์ในสหรัฐฯ เพื่อกลับมาทำงานด้านการโฆษณาชวนเชื่อให้รัฐบาลเวียดนามใต้ และต่อมาก็ทำงานให้สำนักข่าวตะวันตกยาวนานจนสิ้นสุดสงครามเวียดนาม

ระหว่างทำงานเหล่านี้เขากลายเป็นผู้ส่งข่าวสารลับให้กับงานข่าวกรองของเวียดกง ที่สำคัญต่อเนื่อง โดยที่เพื่อนร่วมงานไม่เคยล่วงรู้ และเขาเองก็ต้องมีชีวิตกับความเครียดอย่างยิ่งยวด เสมือนเดินบนเส้นด้ายในฐานะสายลับสองหน้าที่คลุกวงในของอเมริกันและเวียดนามใต้

งานสำคัญที่สุด และทำให้เขาได้รับการยกย่องในเวลาต่อมา คือการพาสายลับของเวียดกงเข้าไปสำรวจทางหนีทีไล่ของเมืองไซ่ง่อน ก่อนการโจมตีครั้งใหญ่เทศกาลตรุษญวนที่พลิกโฉมหน้าของสงครามเวียดนามอย่างไม่มีทางกลับคืนได้

ส่วนงานรองลงไปคือ การหาทางช่วยเหลือให้ผู้สื่อข่าวตะวันตกที่เป็นเพื่อนของเขา ได้รับการปล่อยตัวจากเงื้อมมือของเวียดกง ซึ่งทำให้เขายิ่งได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากนักข่าวตะวันตก จนทำให้เข้าถึงข่าวสารลึกยิ่งขึ้นแบบไร้รอยตะเข็บถือเป็นผู้สื่อข่าวที่มีสายสัมพันธ์กับทุกฝ่ายได้ชนิดยากเทียมทาน

การทำหน้าที่ดังกล่าว เขาเปรียบว่าเสมือนกับการทำหน้าที่เสมือนสัตว์เลี้ยงที่เขาชื่นชอบได้แก่ หมา (ความภักดีต่อเพื่อนและชาติ) นก (เสรีภาพ) และปลา (การนิ่งเงียบไม่ปริปาก)

งานสายลับดังกล่าวส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งต่อสงครามเวียดนาม เช่นกับชีวิตของฟาม แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่า มันคือวีรกรรมอันยิ่งใหญ่แต่มันคือภารกิจของผู้รักชาติธรรมดาเท่านั้นเอง

ชีวิตและงานของฟามในหนังสือเล่มนี้ ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวายิ่งกว่านวนิยายสายลับ ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนๆ เพราะเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตของคนคนหนึ่ง ในยามที่ชาติมีความผันผวนจากไฟสงคราม

ที่สำคัญกว่านั้น มันบ่งชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของกระบวนการและงานสายลับอย่างหมดเปลือกได้อย่างจริงจัง แม้ว่าเราจะไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมดว่า มันคือความจริง แต่ก็ช่วยให้เห็นเบาะแสว่า ในความโกลาหลนั้น ยากจะแยกวีรชนออกจากปีศาจร้ายได้

แน่ละ ประวัติศาสตร์บางส่วนของสงครามเวียดนามอีกหลายด้านก็ยังคงเป็นความลับต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์โลกอยู่แล้ว เนื่องจากความทรงจำในอดีตนั้น บางอย่างเป็นความทรงจำที่ถูกเจตนาลืม และบางอย่างเป็นเจตนาที่จะถูกเปิดเผย อย่างแรกเราไม่มีทางรู้ได้เลย นอกจากใช้จินตนาการอันแหว่งวิ่น เข้าทำนอง "ป่าทั้งป่า ได้มาแค่ใบไม้กำมือเดียว" ตามหลักพระพุทธองค์เท่านั้น

คนที่สนใจประวัติศาสตร์ระยะใกล้ของสงครามเวียดนาม และเรื่องราวเกี่ยวกับงานจารกรรม ต้องไม่พลาดหนังสือเล่มนี้เป็นอันขาด

รายละเอียดในหนังสือ

Prologue : "I can die happy now" เกริ่นนำว่าด้วย การที่อดีตสายลับเวียดกง ยินยอมเปิดเผยข้อเท็จจริงของชีวิตอันซับซ้อนเมื่อยามใกล้ตายกับผู้เขียน แม้ว่าเขาจะยังคงรักษา ความลับส่วนใหญ่เอาไว้กับตัว ด้วยเหตุผลสองข้อคือต้องการพูด ในสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ในเวียดนามหลังสงคราม และต้องการอำลาเพื่อนเก่าที่แสนดีชาวอเมริกัน คำเปิดเผยของเขาเพียงพอที่จะทำให้คนรู้ว่า สายลับที่ยิ่งใหญ่สุดของสงครามเวียดนามนั้น แม้ชื่นชมอเมริกันเพียงใดแต่ก็มีพันธกิจที่จำต้องทำในฐานะผู้รักชาติ

Chapter 1. Hoa Binh : Spy and Friend ว่าด้วยตัวอย่างภารกิจลับของฟาม ค.ศ.1970 ในการช่วยเหลือเพื่อนนักข่าวอเมริกันที่ถูกจับกุม หลังการลุกฮือเทศกาลตรุษญวน ค.ศ.1968 อันลือลั่น ที่ทำให้สงครามเพิ่มความรุนแรงอย่างถึงที่สุด โดยเขาใช้เครือข่ายงานลับที่มีอยู่ ชี้แจงให้เวียดกงยินยอมปล่อยตัวนักข่าวนั้นเพื่อผลทางยุทธศาสตร์

Chapter 2. The Apprenticeship of a Spy กระบวนการอำพรางและฝึกฝนสายลับหน้าใหม่ของเวียดกง เพื่อให้ฟามแทรกตัวเข้าไปอยู่ในแวดวงของสังคมอเมริกันในเวียดนามใต้อย่างแนบเนียนโดยใช้เวลายาวนาน จนกระทั่งเขาได้รับความไว้วางใจให้ไปเรียนต่อในสหรัฐฯ อันเป็นใบเบิกทางสำคัญของชีวิตสายลับชนิดที่ซีไอเอสอบไม่พบประวัติ

Chapter 3. California Dreaming การเรียนรู้วิถีชีวิตแบบอเมริกันอย่างเข้าถึงในสหรัฐฯ พร้อมกับสร้างเพื่อนใหม่จำนวนมหาศาล เพื่อฝึกฝนการเป็นนักหนังสือพิมพ์มืออาชีพในอนาคต เพื่อที่จะเตรียมพร้อมกลับไปยังเวียดนาม

Chapter 4. The Emergence of a Dual Life ใบผ่านจากอเมริกาและภาษาอังกฤษที่ดีเลิศ ทำให้ฟามกลายเป็นที่ต้องการ ของหน่วยราชการลับของโง ดินห์ เดียม ในการฝึกฝนผู้ปฏิบัติงาน ข่าวกรองและโฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะหัวหน้างานสืบราชการลับของเวียดนามใต้ ทำให้ฟามสามารถปฏิบัติงานสายลับเชิงยุทธศาสตร์ตามลำพังได้อย่างเป็นอิสระในช่วง 5 ปีรกที่กลับมา

Chapter 5. From Time to Tet ปี 1967 เป็นปีของการเปลี่ยนชีวิตและงานครั้งสำคัญ เมื่อเวียดนามเหนือและเวียดกงตัดสินใจจะก่อการลุกฮือขึ้นในไซง่อน ฟามย้ายงานจากรัฐบาลเวียดนามใต้มาสู่นิตยสารอเมริกันประจำไซ่ง่อน ซึ่งทำให้เขามีสายสัมพันธ์กว้างขวางขึ้น และรอบจัดมากขึ้น ด้วยข้อมูลอันลุ่มลึกและรอบด้านซึ่งหาตัวได้ยากสำหรับผู้สื่อข่าวต่างชาติ และเขาก็มีส่วนวางแผนให้สายลับเวียดกงสามารถชี้เป้าในการลุกฮือ เทศกาลตรุษญวนอันเลื่องชื่อในปีถัดมาได้อย่างแยบยล

Chapter 6. The Blurring of Roles : April 1975 บทบาทอันสำคัญในช่วงโค้งสุดท้ายของสงครามเวียดนาม ซึ่งฟามกระทำอย่างแนบเนียนเพื่อช่วยเหลือมิตรใกล้ชิดทุกฝ่ายให้สามารถรอดพ้นจากหายนะของสงครามได้ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู โดยที่ตัวเขาไม่ยอมหลบหนีออกจากประเทศทั้งที่สามารถทำได้ แต่ส่งครอบครัวไปก่อน

Chapter 7. In His Father's Shadow บทบาทของฟามหลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง ซึ่งเขาถูกตั้งคำถามจากหน่วยงานลับเวียดนามเหนือ ว่าเป็นสายลับสองหน้า และชื่อของเขาหายไปยาวนาน แม้ว่าครอบครัวของเขาจะหาทางย้ายกลับมาจากสหรัฐฯอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่จะมีรายชื่อของเขาโผล่มาอีกครั้งอีก 3 ปีต่อมาในฐานะวีรชนที่ได้ตำแหน่งนายพล ซึ่งทำให้เพื่อนเก่าในแวดวงสื่อยุคสงครามตกใจและตะลึงไปทั่ว

Epilogue : An Extraordinary Double Life ชีวิตบั้นปลายที่โด่งดัง แต่ถูกเข้าใจผิด และจำต้องตัดขาดจากอดีต ทำให้เส้นทางชีวิตของฟามยังเต็มไปด้วยความเร้นลับจนกระทั่งวันตาย



upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide



 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us