|
new releases
Manager 360 aStore
|
|
|
|
|
Karaoke Capitalism
ผู้เขียน: Kjell A. Nordstrom, Jonas Ridderstrale
ผู้จัดพิมพ์: Financial Times Management; Illustrate edition
จำนวนหน้า: 311
ราคา: ฿1,329
buy this book
|
|
|
|
เดี๋ยวนี้คนอ่านหนังสือขี้เกียจมากกว่าเดิม และใช้จินตนาการน้อยกว่าเดิม จนผู้เขียนและสำนักพิมพ์ต้องหาทางยัดเยียดให้ โดยเรียกหนังสือที่มีภาพหรือกราฟิกประกอบเยอะๆ (อาจจะใกล้เคียงกับเนื้อหาหลัก) ว่า Illustrate edition แล้วตั้งราคาขายแพงขึ้น
ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายคือ คนขายขายได้ราคาแพงขึ้น ส่วนคนซื้อก็ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมอง (ซึ่งไม่ค่อยจะมีเหลือกี่มากน้อย)
หนังสือเล่มนี้ของคู่หูนักเขียนหัวโล้นจากสวีเดน เข้าสูตรนี้พอดีเลย
คนทั้งคู่เป็นนักคิดทางด้านการจัดการธุรกิจ และมีอาชีพหลัก คือ event marketing จัดอบรมนักธุรกิจในยุโรป พร้อมกับออกสื่อประกอบการอบรมเพื่อให้คนที่จ่ายเงินค่าอบรมรู้สึกว่าคุ้มค่า
หนึ่งในความคุ้มค่าก็คือ การโกนหัวโล้นเหมือนกันเพื่อให้มองดูเหมือนักร้องวงป๊อปของสวีเดนรุ่นเก๋า Benny and Bjorn แห่งวงดนตรี ABBA ที่วัยโจ๋ยุค '70 รู้จักดี (นักร้องหญิงคู่ของวงนี้ มีช่วงขาเซ็กซี่มากๆ) ซึ่งเร้าความสนใจได้ดี
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ก็เหมาะสำหรับเป็นคู่มืออบรมจริงๆ เพราะสั้น กระชับ และไม่ต้องใช้ความคิดอะไรมาก มีการนำเสนอที่เร้าใจด้วยตัวอย่างร่วมสมัยมากมาย แค่ตามหัวข้อที่ผู้เขียนกำหนดเอาไว้ไปเรื่อยๆ ก็เพียงพอแล้ว... เสร็จแล้วก็กลับไปนอนฝันหวานว่า "พรุ่งนี้จะรวยกว่าเดิม"
ก่อนหน้านี้ หนังสือของผู้เขียนคู่หูชื่อ Funky Business : Talent Makes Capital Dance ขายดีระเบิดระเบ้อในยุโรปและอเมริกาเลยทีเดียว จนกระทั่งต้องออกมาเป็นเว็บไซต์หากินต่ออีก หนังสือเล่มใหม่นี้ก็เลยเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากของเดิมให้สูงขึ้นไปอีก
ประเด็นสาระหลักของหนังสือเล่มนี้ อยู่ที่การตั้งโจทย์ว่า ผู้ประกอบการที่เป็นปัจเจกจะทำตัวอย่างไร หากว่าผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย และเปลี่ยนใจง่ายดายเหมือนพวกนักร้องเพลงตามคลับคาราโอเกะ ซึ่งกลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของโลกไปแล้วยามนี้? ในขณะที่ผู้ให้บริการและผู้ผลิตสินค้าต่างพากันทำตัวลดความเสี่ยงด้วยการหันไปเป็นคนผลิตสินค้าเลียนแบบกันอย่างกว้างขวาง โดยข้ออ้างว่า "เพราะตลาดต้องการ" ซึ่งผลลัพธ์มักจะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ?
โจทย์ที่ตั้งขึ้นมา ทำให้หนังสือแยกกระจายไปได้ถึง 15 บท โดยลำดับเรื่องที่มาที่ไป เพื่อให้กระจ่างชัดในการตอบโจทย์ดังกล่าว ซึ่งไปมีข้อสรุปในบทที่ 14 ว่า การฝ่าฟันอุปสรรคของโจทย์นั้น ต้องพึ่งพาหลักการ 10 ข้อ ที่ผู้เขียนสำรวจและวิจัยมาให้แล้วเรียบร้อย ไม่ต้องหาจากที่อื่นๆ
หลักการทั้ง 10 ข้อ (ซึ่งถือเป็นคำตอบเบ็ดเสร็จและบูรณาการของผู้เขียน) ประกอบด้วย
1. อย่ายอมแพ้ต่ออัตตาที่ทะยานอยากเผยโฉมตัวเองก่อนเวลาอันสมควร ผู้นำที่แท้จริงเปรียบได้กับคนเลี้ยงแกะ ไม่ใช่หัวหน้าแกะ
2. อย่านำทางอย่างคนตาบอด ต้องนำด้วยใจที่เปิดกว้าง และให้ความคิดของผู้ตามแสดงศักยภาพออกมามากที่สุด
3. อย่ามุ่งกำไรสูงสุดถ่ายเดียว เป้าหมายทางธุรกิจนั้นมีหลากหลาย ต้องใช้ให้เหมาะกาลเทศะ
4. สร้างคุณค่าให้กับวัฒนธรรมองค์กรที่แน่นอนและไม่โลเลไปมา เพื่อให้ทิศทางขององค์กรชัดเจน
5. อย่าทำให้ทุกคนรัก และอย่าหวังว่าทุกคนจะรักตอบ
6. ทำความรู้จักธรรมชาติของผู้บริโภคให้ละเอียดชัดเจนเหมือนหญ้าที่สนามหน้าบ้าน
7. สร้างการสื่อสารที่ชัดเจนทั่วองค์กร และพร้อมจะละเลิกระเบียบคร่ำครึของบริษัททั้งหลายแหล่ทิ้ง
8. ถ้าอยากได้หัวแครอต ต้องรู้จักให้หัวแครอตแก่ผู้อื่นก่อนเสมอ
9. อย่าหลงใหลได้ปลื้มเกินไปกับคำสอพลอของผู้ใต้บังคับบัญชา
10. เรียนรู้ที่จะลงจากเก้าอี้เมื่อขึ้นถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะถูกขับไล่ในเวลาต่อมา
กฎเหล็ก 10 ข้อของผู้เขียนนี้ว่าไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรมากนัก นักบริหารธุรกิจทั้งหลาย อาจจะบอกว่า นำเสนอสวย แต่จบทื่อมะลื่อ ซึ่งก็ไม่ผิดเสียทีเดียว แต่จะบอกว่าถูกก็คงไม่ได้
ผู้เขียนนั้นเปิดประเด็นเอาไว้ชัดเจนว่า พวกเขานั้นเป็นพวก popular business trainers ดังนั้นเนื้อหาที่รวบรวมมาได้ ก็สอดคล้องเข้ากับโจทย์ที่นำเสนอ และมีคนสนใจลงตัวพอดี เรื่องความลึกซึ้งกว่านั้น เป็นเรื่องที่ผู้อ่านหรือผู้รับการอบรมที่ต้องไปหาทางคิดต่อ และใช้ประโยชน์เพิ่มเติม
ใครที่ไม่คาดหวังว่าจะได้ความลึกซึ้งมากนัก อ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อใช้การเฉพาะหน้า ก็ถือว่าคุ้มแล้ว แต่หากจะเอาถึงรากลึก คงต้องไปหาอ่านงานของปีเตอร์ ดรักเกอร์ เล่มเก่าๆ เอาเอง
อย่างไรเสีย ผู้เขียนก็กล่าวไว้ชัดเจนตอนหนึ่งว่า การเป็นนักคิดอิสระนั้น ต้องมีต้นทุนอีกต่างหาก ไม่เกี่ยวกับค่าหนังสือนี้ ซึ่งมีเป้าหมายว่าผู้ประกอบการในระบบทุนนิยมร่วมสมัยนั้น ต้องพึ่งพานวัตกรรมส่วนตนมากเพียงใด หากต้องการอยู่รอดและไปได้สวยในการแข่งขันที่เข้มข้น
สำหรับคนที่อยากคิดลึกและรู้จักผู้เขียนทั้งคู่ดีกว่าอ่านหนังสือนี้หาได้จากเวอร์ชั่นไม่มีภาพประกอบจากหนังสือชื่อคล้ายกัน Karaoke Capitalism : Daring to Be Different in a Copycat World
รายละเอียดในหนังสือ
Chapter 1 Endless Solos โลกร่วมสมัยที่ผู้คนต่างกระหายใช้สิทธิในการแสดงออกอย่างเต็มที่ ทำให้การเลียนแบบและการทำต่างกลุ่มหมายถึงความล้มเหลว ดังนั้นมนุษย์แต่ละคนต้องแสวงหาความแตกต่างและกล้าแสดงความแตกต่างนั้นออกมา
Chapter 2 Freed by Robots โลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง 3 ด้านใหญ่คือ เทคโนโลยี สถาบัน และคุณค่า ซึ่งถ้าหากคนเรา ไม่เป็นตัวขับเคลื่อนทั้ง 3 พลัง เราจะกลายเป็นเหยื่อให้ทั้ง 3 พลัง นั้นขับเคลื่อน เหตุผลก็เพราะการเปลี่ยนแปลงมันจะบังคับให้เราดิ้นรนอยู่รอดมากกว่าคนในอดีตหลายเท่า โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถเข้าถึงใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี
Chapter 3 Changing the Rules เทคโนโลยีทำให้สถาบันทางสังคมทุกระดับต้องปรับเปลี่ยนและแตกกระจาย ทำให้มนุษย์แต่ละคนกลายเป็นผู้สร้างสถาบันส่วนตัวขึ้นมา เนื่องจากคนที่สร้างกฎและแหกกฎถึงจะรู้สึกเป็นอิสระ ความหมายของคนนอกกฎนั้นไม่มีอีกแล้ว เนื่องจากไม่มีกฎให้ยึดถือ
Chapter 4 Material Boys and Girls ความหมายของชีวิตคน ในสังคมปัจจุบัน ไม่ถูกกำหนดโดยรัฐและโบสถ์อีกต่อไปแล้ว แต่กำหนดโดยวัตถุที่มีอยู่ในครอบครองและคำว่าชุมชนไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่อาศัยต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมร่วมเป็นสำคัญ อย่างเช่น คนเอเชียดูฟุตบอล เพราะชื่นชม เดวิด เบคแฮม เป็นสำคัญ
Chapter 5 The Age of Abnormality การสร้างสังคมใหม่ในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎธรรมชาติอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจคู่ขนานที่ขัดแย้งกัน ซึ่งทำให้ความผิดปกติกลายเป็นเรื่องปกติ คนที่อยู่ในระดับหัวเฉลี่ยก็จะกลายเป็นคนที่ถูกลืมและถูกกดดันให้ยอมแพ้
Chapter 6 Talent Takes Over ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางกลายเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของมนุษย์ร่วมสมัยเนื่องจากกลายเป็นสิ่งหายากและมีราคาสูง ดังนั้นมนุษย์จึงต้องหัดโกหกตัวเองมากขึ้นด้วยการนำเสนอสิ่งที่โดดเด่นของตนเองให้คนอื่นรู้หรือรับทราบ
Chapter 7 Customer in Charge การแพร่กระจายของสื่อทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจต่อกระบวนการผลิตมากกว่าผู้ค้าและผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการ ดังนั้นผู้บริหารธุรกิจจึงไม่ใช่แค่คนที่บริหารในองค์กรได้ดีเท่านั้น แต่ต้องเป็นคนที่รู้จักว่าลูกค้าแท้จริงอยู่ที่ไหน
Chapter 8 Capitalists Are Crying ทางสองแพร่งของโลกธุรกิจในปัจจุบันก็คือ ด้านหนึ่งเอาชนะผู้แข่งขัน อีกด้านหนึ่งสนองต่อความต้องการผู้บริโภค ซึ่งภารกิจ 2 อย่างนี้ขัดแย้งกันเองจนทำให้สับสนได้ง่าย
Chapter 9 Web of Wisdom ความร่ำรวยถูกสร้างด้วยภูมิปัญญา แต่การรักษาภูมิปัญญาเอาไว้นั้นยากยิ่ง ยากพอๆ กับที่โมเสสเลือกดินแดนพันธะสัญญาของพระเจ้า
Chapter 10 Innovation Inc. คำว่านวัตกรรมเป็นคำที่สวยหรู แต่บางทีก็ไร้ความหมาย เหมือนเสียงในความมืด เนื่องจากไม่มีคนขานรับ ดังนั้นนวัตกรรมที่ดีต้องสามารถแปลความหมายให้กลายเป็นอารมณ์ของผู้บริโภคให้ได้ ผู้บริหารที่อยากประสบความสำเร็จรวดเร็ว ต้องทำตัวเหมือนคนหนุ่มสาวที่มีปฏิกิริยาต่อเพลงในคาราโอเกะ
Chapter 11 The Holy Grail of Business เทคโนโลยีและอุปกรณ์ด้านการจัดการ แม้จะเป็นสิ่งจำเป็นแต่ไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้นำธุรกิจหากไม่สามารถครอบงำและผูกขาดอารมณ์ของผู้บริโภคได้
Chapter 12 Models with Minds การเป็นบริษัทต้นแบบที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มต้นจากความสามารถในการสร้างมูลค่าต่อผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มแล้วขยายเครือข่ายของผู้บริโภคให้กว้างออกไปภายในกฎ 3-C (concept, customer, capabilities) ซึ่งจะกลายเป็นมาตรฐานของธุรกิจไป
Chapter 13 Moods that Matter การเข้าใจความแปรปรวนของตลาด ไม่ได้อยู่ที่วิ่งตามตลาด แต่อยู่ที่การจับหัวใจของธุรกิจและเข้าใจเสมอว่าผู้บริโภคนั้นเป็นสัตว์ที่มีเหตุผล สามารถเลือกไปสวรรค์หรือนรกได้ด้วยตนเอง
Chapter 14 Managing Moody Models บริษัทที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจจะต้องผสมผสานความแข็งแกร่งแบบมาตรฐานและอารมณ์เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและสร้างพลังใหม่ต่อเนื่อง ด้วยกฎสิบข้อของการเป็นผู้นำธุรกิจร่วมสมัย
Chapter 15 Breaking Free from Karaoke การจะประสบความสำเร็จนั้นมีต้นทุนที่ต้องจ่ายเสมอ เหมือนคนที่ร้องเพลงแผ่นคาราโอเกะไม่มีทางที่จะเป็นนักร้องที่ดีได้ เพราะไม่ได้ร้องเพลงของตัวเอง วันใดที่เลิกร้องคาราโอเกะแล้วร้องเพลงของตัวเองวันนั้นคือวันประสบความสำเร็จ
|
|
|
|