|
new releases
Manager 360 aStore
|
|
|
|
|
Soldier, Statesman, Peacemaker
ผู้เขียน: Jack Uldrich
ผู้จัดพิมพ์: AMACOM
จำนวนหน้า: 244
ราคา: $24.95
buy this book
|
|
|
|
บทเรียนผู้นำจากผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
นายพล George Carlett Marshall เป็นมากกว่าแม่ทัพผู้บัญชาการสงครามในช่วงกึ่งศตวรรษที่แล้ว แต่เขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่จนบางคนถึงกับยกย่องเขาว่า เป็นคนอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20
และใน Soldier, Statesman, Peacemaker เล่มนี้ Jack Uldrich ที่ปรึกษาธุรกิจ ได้เล่าถึงความยิ่งใหญ่ที่ Marshall ได้ทำให้แก่โลกในช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งหลักการ 9 ประการแห่งความเป็นผู้นำของเขา ที่สร้างให้เขาเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจของคนมากมาย และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก
แผนการ Marshall
นายพล Marshall ได้สร้างเกียรติประวัติไว้มากมายในประวัติศาสตร์ แต่ต่อไปนี้อาจนับเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
- ขณะดำรงตำแหน่งสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเรียกว่าตำแหน่ง Chief of Staff of the U.S. Army ก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นายพล Marshall เป็นผู้ขยายกองทัพอเมริกันจากกองทัพเล็กๆ ที่ทำหน้าที่เพียงปกป้องชาติของตนให้กลายเป็นกองทัพที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีในโลก
- ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ นายพล Marshall ได้คิดแผนฟื้นฟูยุโรปซึ่งย่อยยับจากสงครามโลกด้วยแผนการที่เรียกว่า "แผนการ Marshall" ซึ่งได้กอบกู้ยุโรปหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2
- เขาได้รับการคัดเลือกจากนิตยสาร Time ให้เป็น "บุคคลแห่งปี" 2 ครั้ง ในปี 1943 และ 1947
- เขาเป็นนายทหารอาชีพคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพอันทรงเกียรติ
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของนายพล Marshall ล้วนเป็นผลมาจากการที่เขายึดมั่นในหลักการผู้นำ 9 ประการ ซึ่งได้แก่ ความซื่อสัตย์ การลงมือทำ การไม่เห็นแก่ตัว ความบริสุทธิ์ใจ การเตรียมพร้อม การเรียนรู้และการถ่ายทอดความรู้ ความยุติธรรม การมีวิสัยทัศน์ และการเอาใจใส่
ขณะที่ยังไม่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด โดยยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายพล John J. Pershing ผู้บัญชาการกองทัพ American Expeditionary Forces อยู่นั้น Marshall ก็ได้เริ่มฉายแววแห่งการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเขาเป็นผู้วางแผนการรุกภาคพื้นดินครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่เรียกว่า การรุกที่ Meuse-Argonne ซึ่งเป็นสงครามที่สามารถจู่โจมทหารเยอรมันได้โดยไม่ทันตั้งตัว และได้รับยกย่องว่า มีส่วนทำให้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติได้โดยเร็ว
หลังสงครามเลิก Marshall ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นหนึ่งในทีมผู้ช่วยคนสำคัญของนายพล Pershing และได้เริ่มเรียนรู้ถึงความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ
เน้นความร่วมมือพิชิตนาซี
Marshall ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ เมื่อได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวางแผนการรบ และในอีกไม่กี่เดือนต่อมา เขาก็ได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อประธานาธิบดี Roosevelt ได้แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งสูงสุดของกองทัพหรือ Chief of Staff ทั้งๆ ที่เขามีอาวุโสน้อยกว่านายทหารระดับนายพลอีกหลายคน
ตลอดเวลา 3 ปีหลังจากนั้น Marshall สามารถผลักดันให้ประธานาธิบดีลงมือเตรียมสหรัฐฯ ให้พร้อมสำหรับการทำสงครามโลกที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการสั่งเกณฑ์ทหารเป็นครั้งแรกในยามสงบ และปรับปรุงความร่วมมือประสานงานระหว่างกองทัพบกและกองทัพเรือ รวมทั้งวางรากฐานของความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรต่างๆ ให้แน่นแฟ้นขึ้น
เมื่อสหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง Marshall ได้แสดงความเป็นผู้นำอย่างเต็มที่ ทุกๆ วันเขาจะต้องทำการตัดสินใจที่สำคัญเกี่ยวกับการเคลื่อนทัพของกองทัพสหรัฐฯ และการจัดสรรอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังบำรุง และเมื่อเขาสามารถทำให้ Roosevelt และ Churchill ผู้นำอังกฤษ เห็นด้วยว่า การจะเผด็จศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น จะต้องจัดการกับเยอรมนีก่อน และการณ์ก็ปรากฏว่า กลยุทธ์ดังกล่าวได้ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงครามเหนือนาซีเยอรมัน
นับว่า Marshall เป็นบุคคลที่ "ไม่อาจจะขาดได้" สำหรับศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้แต่งชี้ว่า บทเรียนที่ได้จากการศึกษา ผลงานของ Marshall สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทั้งโลกธุรกิจและการเมือง หากคุณต้องการเป็นผู้นำที่องค์กรและโลกไม่อาจลืม
|
|
|
|