|
new releases
Manager 360 aStore
|
|
|
|
|
Eat People
ผู้เขียน: Andy Kessler
ผู้จัดพิมพ์: Portfolio
จำนวนหน้า: 243
ราคา: $25.95
buy this book
|
|
|
|
Andy Kessler ผู้แต่ง Eat People เล่มนี้ เป็นทั้งนักวิเคราะห์หุ้น วาณิชธนกิจ นักลงทุนประเภท venture capital และผู้จัดการกองทุน hedge fund เขาจึงเป็นผู้รู้จริงเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจและการทำธุรกิจให้เติบโต
Kessler เป็นคนตาแหลมและมองเห็นความโดดเด่นของ Mark Zuckerberg และ Michael Dell มานานแล้ว ก่อนหน้าที่พวกเขาจะเป็นพวกเขาอย่างทุกวันนี้ Kessler ชี้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เศรษฐกิจดีหรือแย่ แต่ผู้ประกอบการที่ยอดเยี่ยมไม่เพียงสามารถเริ่มต้นบริษัทที่ทำกำไรเท่านั้น แต่พวกเขายังได้พลิกเปลี่ยนอุตสาหกรรมโดยรวม มองเห็นแนวโน้มใหม่ๆ ของอนาคต และเกาะติดมันไว้แน่น พวกเขาเป็นคนที่ทำให้โลกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้น ทำให้ตัวของพวกเขาร่ำรวยขึ้นด้วยเช่นกัน
จงเป็น Free Radical
Free Radical หรืออนุมูลอิสระ คืออิเล็กตรอนที่ไม่มีคู่ ดังนั้นมันจึงเป็นอิเล็กตรอนอิสระ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ด้วยเหตุที่ free radical เป็นอิสระ จึงเป็นสิ่งที่มีปฏิกิริยาสูงพร้อมจะมอง หาอะไรทำอยู่เสมอโดยไม่เคยหยุดนิ่ง ถึงแม้ว่า free radical จริงๆ จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพของมนุษย์ แต่ Kessler เพียงแต่ยืมคำนี้มาใช้ เพื่อหมายถึงคนที่ไม่เพียงสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่ตัวเองเท่านั้น ในเวลาเดียวกันนั้น เขายังช่วยทำให้ โลกนี้ดีขึ้น ทำให้ชีวิตของคนอื่นๆ ดีขึ้น และยกระดับมาตรฐาน การครองชีพของคนอื่นๆ
ตัวอย่างของคนที่เป็น free radical ก็อย่างเช่น Charles Curtis ผู้คิดค้นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำในปี 1903 ทำให้ทุกคนมีไฟฟ้าใช้ จากการมีไฟฟ้าใช้ ทำให้ James Spangler ภารโรงซึ่งเป็นโรคหอบหืด คิดประดิษฐ์ไม้กวาดไฟฟ้าเมื่อปี 1907 ซึ่งก็คือต้นแบบของเครื่องดูดฝุ่นในปัจจุบัน ในปี 1945 Percy L. Spencer สังเกตเห็นแมกนีตรอนสามารถละลายขนมได้ นำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นเครื่องไมโครเวฟในปัจจุบัน
คุณสามารถเป็น Free Radical ได้ ด้วยการปลดปล่อย ตัวเองให้เป็นอิสระจากสิ่งเดิมๆ และสร้างผลงานให้มากขึ้นแต่ใช้ทรัพยากรน้อยลง เป็นคนที่ทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้า แทนที่จะเดินตามความก้าวหน้าของสังคม
จงมองหา Scale
จากประสบการณ์ที่ช่ำชองของ Kessler ในฐานะนักลงทุน มือฉมัง ซึ่งต้องคอยติดตามเฝ้าดูความเป็นไปต่างๆ ในโลกธุรกิจ เขาสรุปได้ว่า หลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นชิปคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบเครือข่าย ล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือมีราคาถูกลงทุกๆ ปี และทุกครั้งที่มีราคาถูกลงจะเกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากราคาที่ถูกลงนั้น และเมื่อราคาถูกลงความต้องการซื้อจะเพิ่มขึ้น ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ความยืดหยุ่นของอุปสงค์อุปทาน (elasticity) ส่วนนักเทคโนโลยีเรียกว่าเส้นโค้งการเรียนรู้ (Learning Curve) ซึ่งที่จริงแล้วหมายถึงสิ่งเดียวกัน นั่นคือ Scale
Scale คือการถูกลงของราคาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจนานเป็น 10 ปีหรือนานหลายทศวรรษ ซึ่งทำให้คุณสามารถจะเริ่มต้นสร้างธุรกิจของคุณบนสิ่งที่เป็น Scale ได้ การลดลงของราคาเพียงแค่ครั้งเดียวไม่เรียกว่า Scale
Scale อาจมองได้ในแง่ของจำนวนก็ได้ ตลาดที่คุณกำลัง ทำธุรกิจอยู่นั้น มีลูกค้ากี่พันคนหรือ หรือว่าเป็นหมื่นคน นั่นก็ไม่เลว แต่ยังไม่นับว่าไม่มีค่าในแง่ของ Scale
คนที่เป็น Free Radical จะต้องถามตัวเองว่า สินค้าของคุณสามารถใช้กับคนเป็นล้านได้หรือไม่ หรือว่า 10 ล้าน หรือว่าพันล้านคนก็ยิ่งดี นั่นแหละคือ Scale ในฐานะนักลงทุน Kessler ถามตัวเองทุกครั้งด้วยคำถามข้างต้น เมื่อเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ บริษัทเกิดใหม่ หรืออุตสาหกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่
การที่จะทำให้คนเป็นพันล้านใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่นั้น แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์นั้นต้องมีราคาถูกลงเรื่อยๆ ไม่ใช่ในเวลาเพียงชั่วข้าม คืน แต่อาจจะนานหลายๆ ทศวรรษ หากคุณเข้าใจเรื่องนี้ คุณก็จะรู้ว่าควรทำอะไรกับธุรกิจของคุณ เพื่อเกาะติดกับสิ่งที่เป็น Scale ทำให้คนที่ใช้สินค้าของคุณเพิ่มจากพันหมื่นเป็นล้านและพันล้านคน
Google ไม่ได้สร้างขึ้นบนเซิร์ฟเวอร์ราคาถูกหรือ bandwidth ราคาถูก แต่ Google สร้างขึ้นบนเซิร์ฟเวอร์ และ bandwidth ที่ราคา “ถูกลงเรื่อยๆ” เคล็ดลับคือ มองหาสิ่งที่เป็น Scale หรือมีราคาถูกลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ แล้วสร้างธุรกิจของคุณบนสิ่งนั้น ประวัติศาสตร์ของการสร้างความมั่งคั่งทั้งหมดที่ผ่านมาคือตัวอย่างของ Scale มองหา Scale ให้พบ แล้วคุณจะค้นพบความมั่งคั่ง
สิ่งที่ต้องกำจัดคือคน
Kessler บอกว่า วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างประสิทธิภาพการผลิตคือ กำจัดคนออกไป หมายถึงการกำจัดงานที่ไร้ค่า แม้จะฟังดูโหดร้าย แต่เป็นความจริงที่ว่า เส้นทางไปสู่ความมั่งคั่งล้วนแต่ต้องผ่านหลุมศพแห่งตำแหน่งงานที่ไร้ค่า เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ลองคิดถึงอาชีพพนักงานขับลิฟต์ที่ไม่มี ให้เห็นอีกแล้วในยุคนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนเริ่มตกงาน เพราะกล้องวงจร ปิดราคาถูก ตำแหน่งงานเหล่านี้ต้องถูกกำจัดทิ้งไปในนามของ “ความก้าวหน้า”
ลองคิดดูว่า มีงานใดบ้างที่จะถูกกำจัดทิ้งเมื่อเวลาผ่านไป แล้วคุณจะมองเห็นโอกาสที่จะเดินไปสู่ความมั่งคั่ง
ตลาดตัดสินใจได้ดีกว่าผู้จัดการ
อย่าไว้ใจผู้จัดการ แต่จงไว้ใจตลาด ว่าจะเป็นคนกำหนดราคาที่ถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร สินค้า บริการ หรือข้อมูลข่าวสาร หรือสิ่งใดก็ตามที่มีมูลค่า จงปล่อยให้ตลาดเป็นคนกำหนดมูลค่าของสินค้าของคุณ และนั่นก็คือ “ราคาตลาด” ที่แท้จริง ตลาดยังสามารถจัดสรรทรัพยากรได้ดีเสียยิ่งกว่าผู้จัดการเก่งๆ หรือวิธีอื่นใด อย่างที่เราเห็นกันอยู่ ยิ่งสินค้ามีราคาถูกลงเท่าใด คนก็จะยิ่งใช้มากขึ้น ยิ่งเป็นข้อมูลที่สามารถหาได้โดยใช้ Google ยิ่งเท่ากับต้นทุนเป็นศูนย์ การเลียนแบบในยุคนี้จึงเป็นเรื่องง่ายที่สุด และแทบไม่มีต้นทุนอะไรเลย แต่กุญแจคือ จงตั้งราคาตาม “คุณค่า” มิใช่ตามต้นทุนค่าใช้จ่าย ความคิด และกระบวนการทำงาน เป็นสิ่งที่มีต้นทุนเกือบจะเป็นศูนย์ แต่การขายอย่างไรต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มาช่วยความคิดเป็นสินค้าอาจขายได้ตั้งแต่ราคาถูกไม่กี่สตางค์ ไปจนถึงราคาแพงเว่อร์ขึ้นอยู่กับคุณค่าของความคิดนั้นๆ และวิธีการขายที่สร้างสรรค์
หากคุณมีโอกาสที่จะสามารถทำธุรกิจอะไรก็ตาม ที่มีต้นทุนเป็นศูนย์ จงทำทันที เพราะถ้าคุณไม่ทำ ก็มีคนอื่นที่พร้อม จะตัดหน้าคุณไปทันทีเช่นกัน
เงินจะเดินไปสู่ที่ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด
เงินจะสามารถหาทางเดินไปสู่สิ่งที่สามารถสร้างผลตอบ แทนได้สูงสุดเสมอ และคุณควรจะทำให้เงินเดินมาหาคุณเอง จงทำตัวให้เป็นประโยชน์ หรือช่วยให้คนอื่นๆ สามารถทำตัวให้เป็นประโยชน์ แล้วคุณจะพบผลกำไรมหาศาล เพราะเงินจะแสวงหาหนทางที่จะเดินเข้าไปลงทุน ในบริษัทของคุณเอง อย่าทำธุรกิจที่มีผลกำไรต่ำ เพราะนั่นเท่ากับคุณกำลังบอกโลกว่า ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณนั้นไร้ประโยชน์ หรือมีคุณค่าต่ำ จงสร้างผลกำไรสูงสุด เพราะนั่นหมายความว่า ลูกค้าให้ค่าต่อผลิตภัณฑ์ของคุณ เพราะคุณได้ให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ และพวกเขาเต็มใจจะจ่ายเพื่อมัน อย่าฟังเสียงนกเสียงกาที่บอกว่าคุณขายของแพงขูดเลือดขูดเนื้อลูกค้า เพราะผลกำไรที่คุณสร้างได้ คือราคาตลาดที่ถูกค้นพบ
การสามารถสร้างผลตอบแทนสูงสุดยังทำให้คุณมีเงินพอ ที่จะลงทุนสร้างผลิตภัณฑ์ของอนาคต มีเงินพอที่จะวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาสินค้าให้มีราคาถูกลงเรื่อยๆ หรือ Scale นั่นเอง และมีเงินพอที่จะสร้างสรรค์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ เพื่ออนาคต อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเลือกได้เสมอที่จะขยายขนาดธุรกิจอย่างใหญ่โต เพื่อ ขายสินค้าให้มากขึ้น โดยยอมรับส่วนต่างกำไรที่น้อยลง แต่การขยายธุรกิจให้มีขนาดใหญ่โต ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องดีกว่าธุรกิจที่มี ขนาดเล็กเสมอไป การสร้างผลตอบแทนสูงสุดเป็นสิ่งที่ดีกว่า
|
|
|
|