|
new releases
Manager 360 aStore
|
|
|
|
|
Leading Outside the Lines
ผู้เขียน: Jon R. Katzenbach, Zia Inayat-Khan
ผู้จัดพิมพ์: Jossey-Bass
จำนวนหน้า: 232
ราคา: $27.95
buy this book
|
|
|
|
Jon R. Katzenbach และ Zia Khan 2 ผู้นำความคิดชี้ว่า องค์กรประกอบด้วย 2 ส่วนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้ง 2 ส่วนเป็นส่วนประกอบซึ่งกันและกัน และทำให้องค์กรทำงานได้ ส่วนแรกคือส่วนที่เป็นทางการ (formal organization) หมายถึงส่วนขององค์กรที่มองเห็นได้ อธิบายได้ อย่างเช่นโครงสร้างการบริหาร กระบวนการทำงาน เกณฑ์วัดประสิทธิภาพการทำงาน และแผนการทำงาน ส่วนที่สองคือส่วนที่ไม่เป็นทางการ (informal organization) ได้แก่วัฒนธรรมองค์กร เครือข่ายสังคม ภายในองค์กร ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน และชุมชนภายในองค์กรที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ทั้งสองส่วนแตกต่างกันอย่างยิ่งแต่มีความสำคัญเท่ากัน เพราะต่างก็สามารถช่วยเร่งหรือขัดขวางความสำเร็จของบริษัทได้
ผู้นำจำนวนมากสามารถควบคุมองค์กรที่เป็นทางการได้เป็นอย่างดี ผู้นำบางคนก็รู้วิธีที่จะใช้ส่วนที่ไม่เป็นทางการขององค์กรให้เป็นประโยชน์ แต่ผู้นำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือผู้ที่สามารถรวมทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน เพราะทั้งสองส่วนคือส่วนที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน และทำให้องค์กรทำงานได้อย่างสมบูรณ์ รวมทั้งรู้ว่า เมื่อใดจึงควรใช้ส่วนที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งทำงานอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครมองเห็น และเมื่อใดที่ควรใช้ส่วนที่เป็นทางการ จึงจะได้ผลดีกว่า
ผู้นำที่ไม่เดินตามเส้นที่ขีดไว้
ในบริษัทส่วนใหญ่ ส่วนขององค์กรที่เป็นทางการยังคงได้รับความสำคัญมากกว่า คนส่วนใหญ่ยังคงทำงาน อย่างสบายใจกว่า กับสิ่งที่จับต้องได้ เช่นขอบเขตหน้าที่ แผนผัง ขั้นตอนการทำงาน แต่จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ หากต้องจัดการกับส่วนที่ไม่ทางการอย่างองค์กร ซึ่งมักจะมองเห็นไม่ชัด เช่นเครือข่ายสังคมที่ไม่เป็นทางการ บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม อารมณ์ความรู้สึก หรืออิทธิพลจากคนรอบข้าง แม้คุณจะตระหนักถึงความสำคัญของส่วนที่ไม่เป็นทางการขององค์กรก็ตาม การเป็นผู้นำที่ไม่เดินตามเส้น ยากกว่าการบริหารแบบเดินตามเส้น เพราะส่วนขององค์กร ที่ไม่เป็นทางการมักจะอธิบายลำบาก และไม่ค่อยมีใครสนใจศึกษาหรือเขียนถึงเรื่องนี้
แต่ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกทุกวันนี้ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก อิทธิพลของโลกาภิวัตน์ และการเกิดขึ้นของเครือข่ายสังคม ออนไลน์ ทำให้หลายบริษัทเริ่มพบว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้าง คุณค่าคือ การสนับสนุนความคิดใหม่ๆ ที่เกิดจากส่วนที่ไม่เป็นทางการในองค์กร ซึ่งไม่ต้องผ่านการปกครองตามลำดับชั้น มากกว่าที่จะใช้แต่เพียงวิธีการบริหารอย่างเป็นทางการเพียงอย่างเดียว
ส่วนที่ไม่เป็นทางการ อย่างเช่นคุณค่า ความเชื่อ บรรทัดฐานที่คนในองค์กรยึดถือร่วมกัน เครือข่ายการรวม ตัวอย่างไม่เป็นทางการระหว่างคนในองค์กร ซึ่งทำให้เกิดการแบ่งปันความรู้ เกิดความไว้วางใจกัน หรือเกิดชุมชนที่ไม่เป็นทางการ เหล่านี้สามารถสร้างแรงจูงใจและกระตุ้น ให้คนในองค์กรทำงานนอกเหนือจากเพียงงานในหน้าที่ สามารถสื่อสารข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว เร่งให้เกิดความร่วมมือและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ความสำคัญของส่วนที่ไม่เป็นทางการ
บริษัทที่ยังมีขนาดเล็กมีพนักงาน 10-50 คน มักมีความเป็นองค์กรที่ไม่เป็นทางการอยู่โดยธรรมชาติ เพราะความที่มีขนาดเล็ก ทำให้ทุกคนรู้จักกันอย่างทั่วถึง สร้างสัมพันธภาพได้โดยง่าย สามารถร่วมมือกันตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เมื่อบริษัทเริ่มโตขึ้น ก็เริ่มต้องการสิ่งที่เป็นทางการมากขึ้น เมื่อสมาชิกในองค์กรเพิ่มขึ้น ความชัดเจนในเรื่องต่างๆ เริ่มเป็นสิ่งจำเป็น โครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน ขั้นตอนกระบวนการทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ใครมีอำนาจตัดสินใจ ใครเป็นคนรับผิดชอบ ยิ่งองค์กรมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องการสิ่งที่เป็นทางการมากขึ้นเท่านั้น เมื่อใดบริษัทมีพนักงานทะลุระดับ 1,000 คน บริษัทนั้นจำเป็นต้องมีส่วนที่เป็นทางการที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์กรต้องเพิ่มความเป็นทางการมากขึ้น ผู้นำจะต้องตระหนักถึงบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของส่วนที่ไม่เป็นทางการ และจะต้องใส่ใจและไม่ละเลยความสำคัญของส่วนนี้ ซึ่งยังคงมีความสำคัญเท่าเทียมกับส่วนที่เป็นทางการ
เรื่องราวขององค์กร A กับองค์กร B อาจทำให้คุณ เข้าใจถึงบทบาทของส่วนที่ไม่เป็นทางการของค์กรมากขึ้น องค์กร A และองค์กร B เป็นองค์กรที่มีอยู่จริง และต่างเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงในอเมริกา คุณค่าที่ทั้ง 2 องค์กรยึดถือก็ไม่แตกต่างกันมากนัก เช่น ความซื่อสัตย์ ความนับถือ แต่ผลสำรวจความมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร A พบว่า มีช่องว่างที่กว้างใหญ่ระหว่างคุณค่าที่พิมพ์อยู่ในคู่มือบริษัท กับพฤติกรรมจริงๆ ของพนักงาน พนักงานไม่จำเป็นต้องไม่เห็นด้วยกับคุณค่าที่บริษัทยึดถือ เพียงแค่เขาไม่ได้นำมันมาใช้ในการตัดสินใจและในการทำงานเท่านั้นเอง
คุณค่าบนกระดาษ
ส่วนองค์กร B พนักงานมีพฤติกรรมที่แสดงถึงการยึดมั่นในคุณค่าร่วมกันขององค์กร ซึ่งเป็นคุณค่าที่ไม่ได้สูงส่งไปกว่าคุณค่าที่องค์กร A ยึดถือแต่อย่างใด แต่ความแตกต่างคือ องค์กร B สามารถเปลี่ยนคุณค่าที่อยู่ในกระดาษ ให้กลายเป็นพฤติกรรมจริงๆ
องค์กร A คือบริษัท Enron ซึ่งประสบกับความล้มละลาย หลังจากที่ถูกเปิดโปงว่าตกแต่งบัญชีอย่างมโหฬาร เมื่อปี 2001 ขณะนี้อดีตผู้บริหารของ Enron อยู่ในคุก ส่วนองค์กร B คือหน่วยนาวิกโยธินของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยรบชั้นหัวกะทิที่มีอายุยาวนานกว่า 200 ปี และมีชื่อเสียงในด้านประสิทธิภาพที่สูงยิ่ง สามารถเอาชนะในสมรภูมิที่ยากลำบาก นับครั้งไม่ถ้วน
ความแตกต่างอย่างสำคัญขององค์กรทั้งสองคือ การใช้ส่วนที่ไม่เป็นทางการขององค์กร ในการทำให้คุณค่าที่อยู่ใน กระดาษกลายเป็นจริง Enron จัดเป็นองค์กรที่แสดงคุณค่าที่สวยหรู แต่ไม่เคยนำมาใช้ปฏิบัติอย่างแท้จริง “ความซื่อสัตย์” ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคำคำหนึ่งบนกระดาษ มีความหมาย เพียงแค่ยกอ้างขึ้นมากล่าวให้ดูสวยหรูในสุนทรพจน์
คุณค่าที่บริษัทยึดถือนั้น เป็นได้ทั้งส่วนที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการขององค์กร ส่วนที่เป็นทางการคือ คุณค่านั้น สามารถเขียนออกมาได้อย่างชัดเจน ให้ทุกคนในองค์กรได้รับรู้ทั่วกัน ส่วนที่ไม่เป็นทางการขององค์กรนี้เอง ที่ทำหน้าที่ดึงคุณค่านั้นออกมาจากกระดาษ แล้วยกระดับจากที่เป็นเพียงถ้อยคำว่างเปล่าบนกระดาษ ให้กลายเป็นการกระทำที่มีคุณค่าอย่างแท้
การจัดสมดุลระหว่างส่วนที่เป็นทางการกับส่วนที่ไม่เป็นทางการในองค์กร เป็นสิ่งสำคัญ ผู้นำควรรักษาและเพิ่มความแข็งแกร่งแก่โครงสร้างที่เป็นทางการของบริษัทเสมอ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องรู้ถึงข้อจำกัดของส่วนนี้ อย่ามองเห็นส่วนที่ไม่เป็นทางการในองค์กร ว่าเป็นความวุ่นวายที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าคุณใช้เป็น จะเป็นพลังที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ให้แก่องค์กร และเป็นสิ่งที่จะช่วยถ่วงดุลส่วนที่เป็นทางการขององค์กร เพื่อให้เกิดความสมดุลในองค์กร และทำให้องค์กร ทำงานได้อย่างเต็มสมบูรณ์
|
|
|
|