Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 



new releases
Manager 360 aStore






 
Mojo
ผู้เขียน: Marshall Goldsmith
ผู้จัดพิมพ์: Hyperion and Profile Books
จำนวนหน้า: 205
ราคา: $26.99
buy this book

“Mojo” เกิดขึ้นเมื่อเวลาที่เราทำสิ่งใดอย่างมีเป้าหมาย มีพลัง และคิดบวก และโลกก็รับรู้และเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ

อะไรคือ Mojo

ความหมายดั้งเดิมของ Mojo เป็นเรื่องของความเชื่อในพลังที่เหนือธรรมชาติของเวทมนตร์วูดูในแอฟริกา ซึ่งทำให้คนมีพลังพิเศษที่จะทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ สามารถขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางและผ่านการทดสอบไปได้อย่างง่ายดาย ต่อมาความหมายดั้งเดิมที่เป็นเชิงไสยศาสตร์ กลับค่อยๆ กลายเป็น “ความรู้สึกดี ที่เรามีต่อสิ่งที่เรากำลัง ทำในขณะนี้ Mojo จะเริ่มจากภายใน ก่อนจะแผ่รัศมีออกมา สู่ภายนอก” นี่คือคำจำกัดความใหม่ของ Mojo และเป็นคำที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในแวดวงกีฬา ธุรกิจ และการเมือง ซึ่งมีความผันผวนไม่แน่นอนสูง ไม่ต่างจากชีวิตของคนเรา

Mojo จะเกิดขึ้นสูงสุดในเวลาที่เราได้รับทั้งความสุข และความหมายในสิ่งที่เรากำลังทำ พูดง่ายๆ Mojo คือสิ่งที่ จะทำให้คุณได้พบทั้งความสุขและความหมายในชีวิต

วัด Mojo ในตัวคุณ

Mojo ของเราจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ความเป็นตัวเรา (ตัวตนของคุณในความคิดของคุณ) ความสำเร็จ (คุณทำอะไรไปบ้าง) ชื่อเสียง (คนอื่นคิด กับตัวคุณ และสิ่งที่คุณทำอย่างไร) และสุดท้ายคือ การยอมรับความจริง (“ปล่อยวาง” บางอย่างที่คุณไม่อาจเปลี่ยน แปลงได้)

หลายคนดูเหมือนเป็นผู้ชนะ เมื่อวัดจากปัจจัย “ภายนอก” ทั้งปวง เงิน ความนับถือ อำนาจ สถานภาพ พวกเขาสามารถเอาชนะคนอื่นๆ ในการแข่งขันอย่างง่ายดาย แต่ทว่า ข้างในใจของพวกเขากลับไม่มีความสุข หรือไม่รู้สึก ว่าชัยชนะหรือความสำเร็จนั้นมีความหมาย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะคนเหล่านี้ขาด Mojo

Mojo ไม่ใช่ความรู้สึกดีใจสุดขีด เมื่อเรารู้สึกว่ากำลัง ชนะ และไม่ได้หมายถึงความก้าวหน้าหรือความสำเร็จที่เราทำได้ หากแต่ Mojo คือการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ ความรู้สึกข้างในใจของเรากับความรู้สึกที่เราแสดงออกภายนอกที่คนอื่นได้เห็น ที่เรามีต่อสิ่งที่เรากำลังทำ

Mojo Paradox

ความจริงที่ขัดแย้งกันเองที่เกี่ยวกับ Mojo คือ ในขณะที่มนุษย์ทุกคนต่างบอกว่า สิ่งที่ต้องการที่สุดในชีวิตคือ ความสุขและการมีชีวิตที่มีความหมาย แต่ปฏิกิริยาของคนเราที่มีต่อสิ่งใดๆ ในชีวิต มักไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อแสวงหาความสุขหรือความหมายอย่างที่เราบอก แต่กลับกลายเป็นการตอบสนองทุกอย่างด้วยความเฉื่อยชา พูดง่ายๆ คือ สิ่งที่คนเราทำมากที่สุดในชีวิตทุกๆ วันคือ การ ที่เรายังคงทำทุกๆ อย่างเหมือนเดิม เหมือนอย่างที่เราเคย ทำมาต่อไป

ความเฉื่อยชานี้ส่งผลต่อทุกๆ อณูในชีวิตของเรา ไม่เพียงแต่ในเรื่องที่ไม่สำคัญอย่างการกินหรือดูทีวี แต่ยังรวมไปถึงเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต คือระดับของความสุขและ การมีความหมายในชีวิตด้วย เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว คุณคงจะฉุก คิดมากขึ้น และอาจจะมองเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยน แปลงสิ่งที่คุณกำลังทำ นั่นคือ ตัดวงจรความเฉื่อยชา

ตัวตนของคุณ: ทำให้ตัวตนของคุณมีความหมาย

คุณมองตัวเองเป็นอย่างไร คุณจะนิยามความเป็นตัวคุณอย่างไร การระบุตัวตนของเราไม่ใช่เรื่องง่าย และบางคนยังทำให้มันยากขึ้นไปอีก เมื่อไม่รู้ว่าจะตัดสินจากตรง ไหนในตัวเอง จึงจะตอบได้ว่า ตัวเราเป็นอย่างไร บางคนจึงกลับไปดูตัวเองใน “อดีต” เช่น เหตุการณ์ในอดีตที่แสดง ตัวตนของเรา ชัยชนะในอดีต หรือความเสียใจในอดีต บาง คนก็เลือกจะเชื่อคำพูดดีๆ ของคนอื่นที่พูดถึงตัวเอง เช่นคำชมของครูหรือเจ้านาย บางคนกลับหันไปมองอนาคต แล้วนิยามความเป็นตัวเองจากสิ่งที่ตัวเองต้องการจะเป็นใน “อนาคต” แทนที่จะมองว่าตัวตนแท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไรใน “ปัจจุบัน” แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวตนของคุณ เป็นอย่างไรในปัจจุบัน ลองพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ ที่ ประกอบขึ้นเป็นตัวคุณในตอนนี้ แล้วพิจารณาต่อไปว่า แต่ละองค์ประกอบที่รวมกันเป็นตัวคุณนั้นมีที่มาจากอะไร แล้วดูว่า คุณรู้สึกดีกับองค์ประกอบที่เป็นตัวคุณหรือไม่ หากคุณรู้สึกดี คุณก็เพียงปรับปรุงมันให้ดีขึ้นไปอีก จากสิ่งที่คุณเป็นในปัจจุบัน แต่ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงตัวตนของคุณ คุณ สามารถจะเปลี่ยนแปลงตัวตนใหม่ได้เพื่ออนาคต

ความสำเร็จ: ทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้นราวกับมีเวทมนตร์

มาตรวัดความสำเร็จของคนเรามี 2 บรรทัดฐานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้านหนึ่ง คือความสำเร็จที่ทำให้คนอื่นได้รับรู้ถึงความสามารถของเรา และผลคือการยอม รับจากคนอื่น นี่คือมาตรวัดความสำเร็จที่คนส่วนใหญ่มักนึกถึง เมื่อพูดถึงความสำเร็จ อีกด้านหนึ่ง คือความสำเร็จที่ “มีแต่เราคนเดียวเท่านั้น” ที่รับรู้ และทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกดีกับความสามารถของเรา มาตรวัดความสำเร็จทั้ง 2 อย่าง ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งคู่

จริงๆ แล้ว มาตรวัดทั้งสองความจริงก็เป็นเรื่องเดียว กัน การที่เราสามารถทำให้คนอื่นประทับใจในความสามารถ ของเรา ย่อมทำให้ตัวเราเองรู้สึกดีกับตัวเองด้วยเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเป็นเช่นนั้น เคยไหมที่ทำอย่างดีที่สุดและได้รับคำสรรเสริญเยินยอมาก มาย แต่ตัวเราเองกลับไม่ได้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นเลย บางครั้งเราทำสิ่งที่ดีที่สุดให้คนอื่น แต่กลับไม่มีใครมองเห็น

เมื่อลอกเปลือกความเข้าใจที่ยังคลุมเครือเกี่ยวกับความสำเร็จออกไปได้แล้ว คุณก็จะเข้าใจความหมายของความสำเร็จได้ดีขึ้น และมองเห็นสิ่งที่คุณทำไปได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ว่ามีทั้งความสำเร็จที่มีความหมายต่อตัวเอง และความสำเร็จที่มีความหมายต่อคนอื่นหรือต่อโลก ความเข้าใจที่ดีขึ้นนี้ จะช่วยให้คุณเพิ่ม Mojo ในตัวเองได้ คุณจะมองเห็นตัวตนของคุณชัดขึ้นโดยไม่เข้าข้างตัวเอง คุณสามารถจะตัดสินได้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของคุณ จริงๆ ทำให้คุณสามารถเลือกได้ว่า จะมุ่งเน้นและทุ่มเทความพยายามไปกับสิ่งที่มีความสำคัญต่อคุณจริงๆ เท่านั้น พร้อมกับเลิกสนใจที่จะพยายามในความสำเร็จที่คุณไม่ได้ต้องการ หรือไม่ได้เพิ่มความสุขหรือมีความหมาย เติมเต็มชีวิตของคุณ

คุณสามารถเพิ่ม Mojo ในตัวคุณได้ ด้วยการ “เปลี่ยน” ระดับของความสำเร็จที่คุณตั้งไว้ (ให้สูงขึ้นหรือต่ำลง ที่จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น รู้สึกชีวิตมีความหมายมากขึ้น) หรือเปลี่ยนมาตรวัดหรือนิยามความสำเร็จเฉพาะของคุณเอง ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่ทำให้คุณรู้สึกว่า ชีวิตนี้ไม่ไร้ความหมาย

ชื่อเสียง: คุณคือผู้เขียนบทกำหนดชีวิตตัวเอง

ชื่อเสียงมาจากการรวมตัวตนของคุณ (คุณเป็นใคร) กับสิ่งที่คุณทำ (ความสำเร็จ) แล้วประกาศให้โลกรู้ แล้วดูว่าคนอื่นๆ จะคิดหรือตอบสนองอย่างไร ชื่อเสียงก็มาจาก การที่คนอื่นๆ ยอมรับ หรือปฏิเสธ ความเป็นตัวตนของคุณ หรือสิ่งที่คุณทำนั่นเอง ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับความเห็นเหล่านั้นหรือไม่ก็ตาม หลายครั้งคุณยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าคุณได้รับการยอมรับหรือถูกปฏิเสธ สรุปคือ ตัวคุณเองไม่อาจสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ เพราะชื่อเสียงเกิดจากความ เห็นของคนอื่นๆ ที่มีต่อตัวคุณ

ยอมรับความจริง: ปล่อยวางสิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงไม่ได้

การเป็นทุกข์กับอดีต และการกังวลเกี่ยวกับอนาคต จะทำลาย Mojo ของคุณได้ง่ายๆ เพราะไม่เป็นผลดีต่ออารมณ์ของคุณ และยังรบกวนการใช้วิจารณญาณและการตัดสินใจ ทำให้เรารู้สึกผิด และนำไปสู่การลงโทษตัวเอง เมื่อเราไม่สามารถยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และปฏิเสธที่จะให้อภัยคนอื่น เรากำลังพกพาความโกรธแค้นและความรู้สึกลบติดตัวไปด้วยทุกหนแห่ง และทำให้ตัวเราหนักขึ้น ทั้งยังเป็นการจำกัดโอกาสของเราที่จะได้พบกับความสุขและความหมายในชีวิต คุณกำลังฆ่า Mojo ของคุณด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะคนอื่น

การยอมรับความจริงและปล่อยวาง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คุณสามารถปลดปล่อยอารมณ์ที่เป็นลบ และเพิ่ม Mojo ในตัวเอง ครั้งต่อไปเมื่อมีใครมาทำให้คุณรู้สึกโกรธแค้น เจ็บปวด ลองเลิกคิดหาเหตุผลความถูกต้องทุกอย่าง และลบความคิดทุกๆ อย่างที่คุณเคยมีเกี่ยวกับคนคนนั้นออกไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาทำในอดีต หรือเขาจะเป็นอย่างไรในอนาคต แล้วลองมองที่ตัวตนของเขาในปัจจุบัน มองให้เห็นว่าเขาเป็นอย่างที่เขาเป็น ลองคิดดูว่า ถ้าคุณมีพ่อแม่คนเดียวกับเขา มีพันธุกรรมเหมือนกับเขา มีประวัติชีวิตเหมือนกับเขา คุณอาจจะเป็นเหมือนที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ การยอมรับ ไม่ได้หมายถึงให้คุณต้องฝืนใจไปชอบเขา หรือเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาเป็น แค่เพียงยอมรับว่า เขาก็เป็นอย่างที่เขาเป็นเท่านั้น อภัยให้เขาในสิ่งที่เขาเป็นและอภัยให้ตัวคุณเองในสิ่งที่คุณเป็น



upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide



 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us