|
new releases
Manager 360 aStore
|
|
|
|
|
Leadershift
ผู้เขียน: Emmanuel Gobillot
ผู้จัดพิมพ์: Kogan Page
จำนวนหน้า: 189
ราคา: $29.95
buy this book
|
|
|
|
ยุคนี้เป็นยุคเฟื่องฟูของชุมชนออนไลน์บนโลกเสมือนจริง ซึ่งกำลังท้าทายบทบาทของความเป็นผู้นำในปัจจุบันอย่างถึงแก่น และผู้นำในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องปรับตัวปรับบทบาท หากยังต้องการจะประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่ Leadershift จึงเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ที่จะช่วยให้ผู้นำสามารถปรับตัวเข้ากับชุมชนสมัยใหม่บนโลกออนไลน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ
เป็นเวลานานหลายทศวรรษมาแล้ว ที่ผู้นำได้รับการสอนสั่งว่า ความสำเร็จของพวกเขาขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญชำนาญ ความพยายาม และการมีอำนาจ แต่ในวันนี้ กำลังเกิดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 4 ประการ ที่กำลังทำให้หลักการความเป็นผู้นำข้างต้นหมดความหมาย แนวโน้มใหม่ 4 อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ demographic trend, expertise trend, attention trend และ democratic trend (เรียกย่อๆ รวมกันว่า DEAD) แนวโน้มใหม่ทั้งสี่นี้กำลังพลิกโฉม โลกแห่งการทำงานไปโดยสิ้นเชิง โดยปราศจากกฎเกณฑ์ใดๆ ที่จะมาควบคุมได้
Leadershift เล่มนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกแห่งการทำงานร่วมกันของคนจำนวนมหาศาล ที่ทำงานอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อองค์กร และชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการเป็นผู้นำอย่างไร Emmanuel Gobillot ผู้แต่ง ซึ่งที่ที่ปรึกษาให้กับผู้บริหารระดับสูงในเรื่องภาวะผู้นำ กำลังเขียนกฎใหม่ของการเป็นผู้นำ
แนวโน้ม DEAD
ปรากฏการณ์การผุดขึ้นมาของเครือข่ายสังคมหรือชุมชนออนไลน์ ซึ่งเป็นการร่วมมือกันทำงานของคนจำนวน มหาศาล มีความหมายมากกว่าเพียงแค่การเปลี่ยนวิธีที่คุณทำธุรกิจ หากแต่มันกำลังเปลี่ยนแปลงตัวธุรกิจเองเลยทีเดียว ธุรกิจไม่ได้เป็นการปกครองหรือการใช้อำนาจตามลำดับขั้นอีกต่อไป แต่การมีส่วนร่วมและการทำงานร่วมกันของสังคมออนไลน์ กำลังทำให้ธุรกิจกลายเป็นเรื่องทางสังคม และทำให้บทบาทของผู้นำเปลี่ยนแปลงไป เป็นการใช้คำพูดมากกว่าคำสั่ง และการมีส่วนร่วมมากกว่า อำนาจหรือตำแหน่ง และนี่ก็คือโมเดลใหม่ของการเป็นผู้นำ ในยุคใหม่
ผู้นำยุคใหม่กลายเป็นเหมือนนักสังคมสงเคราะห์ ที่เน้นการให้ความสำคัญกับชุมชนที่สร้างผู้นำนั้นขึ้นมา มาก กว่าจะให้ความสำคัญกับจิตใจของใครเพียงคนใดคนหนึ่ง แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง 4 ประการต่อไปนี้ ซึ่งเรียกย่อๆ ว่า DEAD กำลังจะ "ฆ่า" ผู้นำแบบเก่าให้ต้องล้มหายตาย จากไป หากพวกเขาไม่ปรับตัว
Demographic trend หมายถึงการที่มีคนหลายๆ รุ่น ซึ่งมีภูมิหลังทางสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ต้อง มาทำงานร่วมกัน คนแต่ละรุ่นต่างก็มีความหวัง ความกลัว ความคาดหวังและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันเลย ซึ่งคนรุ่นอื่นไม่มีวันเข้าใจและยากที่จะประสานเข้ากันได้ การเปลี่ยนแปลงในเชิงประชากรศาสตร์เช่นนี้ กำลังทำให้ประสบการณ์ของผู้นำ ที่อาศัยการรู้จักและเข้าใจคนเพียงรุ่นเดียว ต้องหมดความหมายไปโดยปริยาย
Expertise trend ความเชี่ยวชาญชำนาญซึ่งเป็นตัวขับดันคุณค่าขององค์กร กำลังเปลี่ยนไปพึ่งพาเครือข่าย ความสัมพันธ์ภายนอก ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของฝ่ายบริหารของบริษัท เกินกว่าจะเอื้อมถึง ผลก็คือการเปลี่ยนแปลงนี้กำลังทำให้ความรู้ที่ผู้นำมีอยู่ เริ่มหมดความหมายลงไปเรื่อยๆ
Attention trend เครือข่ายสังคมและข้อมูลภายนอก องค์กรซึ่งกำลังทวีจำนวนมหาศาล กำลังจะเข้ามาแทนที่องค์กร ในฐานะของการเป็นแหล่งการทำงานร่วมกันและการสร้างความสัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังทำให้ความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ของผู้นำ ต้องหมด ความหมาย
Democratic trend ที่ปรึกษาจากภายนอกองค์กร พนักงานที่ทำงานไม่เต็มเวลา พนักงานชั่วคราว และกลุ่มต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์อย่างหลวมๆ กับองค์การ กำลังต้องการสิทธิที่เท่าเทียมมากขึ้น และคนหรือกลุ่มต่างๆ เหล่านี้อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของผู้นำ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงประการสุดท้ายนี้กำลังทำให้อำนาจของผู้นำในแบบเก่าต้องหมดความหมายลงเช่นกัน
คนรุ่น Generation "Me"
13 ปีหลังจากเริ่มวิจัยเรื่องความแตกต่างของคนแต่ละรุ่น Jean M. Twenge ก็ได้เขียนหนังสือชื่อ Gene-ration Me ซึ่งกลายเป็นหนังสือที่สำรวจปรากฏการณ์ Generation Y ได้อย่างรู้แจ้งที่สุด
Twenge ศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมของนักศึกษาที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันสำหรับคนแต่ละรุ่น ตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1960, 60, 70, 80 จนถึงทศวรรษ 90 และค้นพบว่า คนแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูแบบเทิดทูน และปลูกฝังความรู้สึกที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงว่า พวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง คนรุ่นนี้ จะไม่ค่อยยอมรับการเป็นผู้นำของคุณเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนๆ และเมื่อได้ค้นพบว่า ความฝันที่พวกเขามีนั้นไม่อาจเป็นจริงได้ทุกอย่าง เหมือนกับที่พวกเขาเชื่อ ทำให้คนรุ่นนี้กลายเป็นคนที่รู้สึกสิ้นหวังหดหู่ และไม่พอใจในชีวิต มากกว่าคนที่อายุเท่าเขาในรุ่นก่อนๆ
ลองคิดถึงที่ทำงานที่มีคน 3 รุ่นทำงานอยู่ร่วมกัน ซ้ำยังมาจากที่ต่างๆ กัน ทำให้มีภูมิหลังทางสังคมวัฒนธรรมแตกต่างกันอีก Generation Me คือตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในเชิงประชากรศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งทำให้ผู้นำไม่สามารถจะใช้ประสบการณ์ที่เคยมีมา ในการบริหารจัดการคนได้เหมือนเดิมอีก
ผู้เชี่ยวชาญสมัครเล่น
เทคโนโลยีในทุกวันนี้สามารถนำคนเก่งจากแหล่งต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตขององค์กร ให้มารวมตัวกันได้ แม้ว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง นี้จะเพิ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วมาก ซอฟต์แวร์แบบ open source software คือตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนของพัฒนาการใหม่นี้ ซอฟต์แวร์ชนิดนี้คือซอฟต์แวร์ที่เปิดเผยรหัสการเขียนโปรแกรม เพื่อให้ทุกคนสามารถช่วยกันปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมให้ดีขึ้นได้ ขณะนี้มีบริษัทจำนวนมากที่ยอมปรับ supply chain ของตน เพื่อเปลี่ยนไปพึ่งพาความเชี่ยวชาญที่อยู่นอกกำแพงขององค์กรมากขึ้น อาจเรียกบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่นอกองค์การ เหล่านั้นว่าเป็น "ผู้เชี่ยวชาญสมัครเล่น" หรือหลายคนเรียกพวกเขาว่า prosumer เกิดจากการผสมคำ professional กับ consumer
แม้ว่าเว็บไซต์แบบดั้งเดิมที่สร้างโดยผู้ผลิต จะยังคงมีอัตราการเติบโตสูงถึง 20% ต่อปี แต่เว็บที่สร้างโดยผู้ใช้เองกลับมีอัตราเติบโต 100% ทุกปี การร่วมมือกันระหว่างผู้ใช้ด้วยกันเอง ในการสร้างเนื้อหาและสื่อออนไลน์ กลายเป็นแนวโน้มที่มาแรงแบบฉุดไม่อยู่ ตัวอย่างที่มักถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอยู่เสมอก็คือ Wikipedia นั่นเอง ด้วยเวลาเพียงไม่ถึง 7 ปี เว็บสารานุกรมออนไลน์แห่งนี้ ก็ได้กลายเป็นสารานุกรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีบทความที่บรรจุอยู่ในเว็บดังกล่าวมากกว่า 6 ล้านเรื่อง เขียนด้วยภาษามากกว่า 250 ภาษา และ Wikipedia ยังเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น สำหรับแนวโน้มใหม่นี้
แม้แต่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ในปัจจุบันก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงระบบที่ปิดภายในองค์กร ซึ่งอาศัยเฉพาะคนเก่งภายในองค์กรเพียงกลุ่มเดียวอีกต่อไปแล้ว และเมื่อโลกเปิดรับความเชี่ยวชาญจากแหล่งต่างๆ อย่างไม่จำกัด ความเชี่ยวชาญของผู้นำแบบดั้งเดิมจึงกำลังจะหมดความหมาย
ผู้นำพันธุ์ใหม่
leadershift หมายถึง ผู้นำชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ผู้นำในรูปแบบที่ใช้อำนาจปกครองตามลำดับขั้น อย่างที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิมจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นผู้นำที่จะช่วยสนับสนุนความร่วมมือกันของกลุ่มซึ่งเลือกผู้ที่เข้าเป็นสมาชิกกันเอง และผู้นำก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มดังกล่าว เป็นผู้นำที่ใช้คำพูดมากกว่าคำสั่ง ในการสร้างผลงานร่วมกัน
leadershift แตกต่างจากผู้นำแบบเดิมตรงที่จะเป็นผู้นำที่ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เป็นผู้นำที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและทำงานร่วมกับคนอื่น เป็นผู้นำชนิดที่ทำให้ขอบเขตและเส้นแบ่งระหว่างผู้นำกับผู้ตามพร่าเลือนไป ผู้นำแบบ leadershift ได้เป็นผู้นำด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมา ไม่ใช่ด้วยตำแหน่งหัวโขน และสิ่งที่จะสร้างชื่อเสียงให้แก่ผู้นำรุ่นใหม่นี้ก็คือ พันธะหน้าที่ที่เขาได้ทำให้แก่ชุมชน มากกว่าความสามารถในการทำให้ชุมชนทำงาน เพื่อประโยชน์ ของตัวเขาเอง leadershift ไม่ใช่อำนาจที่ได้มาโดยตำแหน่ง ในองค์กรแบบในปัจจุบัน หากแต่เป็นอำนาจที่ได้มาจากสังคมและชุมชนมอบให้
|
|
|
|